X
ดีอีเอสเพิ่ม 15 พื้นที่สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ

ดีอีเอสเพิ่ม 15 พื้นที่สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ

6 ส.ค. 2565
520 views
ขนาดตัวอักษร

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอสเป็นประธานการประชุมอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 1/2565 ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอ และเห็นชอบแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะ จำนวน 15 พื้นที่ ใน 14 จังหวัดประกอบด้วย 1) นครระยองเมืองอัจฉริยะและน่าอยู่ จังหวัดระยอง 2) คันทรงโมเดล เมืองแห่งความสุขที่พึงประสงค์และสังคมแห่งการแบ่งปัน จังหวัดชลบุรี 3) การพัฒนาเมืองอัจฉริยะของพื้นที่ในจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก 4) โครงการพิษณุโลกนครอัจฉริยะอย่างยั่งยืน จังหวัดพิษณุโลก 5) นครเชียงรายสู่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดเชียงราย 6) เมืองน่านสู่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดน่าน 7) โคราชเมืองอัจฉริยะ จังหวัดนครราชสีมา 8) Smart City อุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี 9) กระบี่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดกระบี่ 10) จังหวัดพังงาสู่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดพังงา 11) Satun Smart City จังหวัดสตูล 12) พัฒนาเทศบาลนครเกาะสมุย สู่เมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 13) หาดใหญ่เมืองอัจฉริยะสีเขียว จังหวัดสงขลา 14) ปัตตานีเมืองอัจฉริยะ จังหวัดปัตตานี และ 15) เมืองสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์นราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ส่งผลให้ประเทศไทยมีพื้นที่ที่ได้รับการรับรองเป็นเมืองอัจฉริยะ รวม 30 พื้นที่ ใน 23 จังหวัด


นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาของการดำเนินงานเพื่อผลักดันให้เกิดการวางแผนและพัฒนาเมืองอัจฉริยะแสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและเริ่มเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยสิ่งที่สำคัญคือ การทำให้ผู้บริหารเมือง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างกระบวนการและการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่มุ่งเน้น ‘คน’ เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดแผนการพัฒนาเมืองและโครงการที่ตอบสนองบริบทของพื้นที่ และความต้องการของประชาชน โดยการพัฒนาเมืองอัจฉริยะเดินทางเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการผลักดันการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนการ โดยเน้นกระบวนการสร้างความร่วมมือในทุกภาคส่วน อันจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะประเทศไทยที่วางไว้


ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ภายใต้การทำงานของสำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทยมีผลการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมในหลายด้าน โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถแก่บุคลากร ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับสูงให้มีทักษะด้านการวางแผน และสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะมาประยุกต์ใช้มากกว่า 150 คน ผ่านโครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ (Smart City Ambassadors) โครงการอบรมผู้บริหารหลักสูตรผู้นำการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ (Smart City Leadership Program) อีกทั้งกระตุ้นการเติบโตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อการบริการเมืองอัจฉริยะ ทั้งในส่วนผู้ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบภาคเอกชน สถาบัน หรือหน่วยงานด้านนวัตกรรม ผู้ใช้บริการ ได้แก่ ภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และผู้ที่ต้องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรหรือธุรกิจ ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาระบบบริการเมืองอัจฉริยะ (depa Smart Living Solution) ซึ่งประเมินว่า การพัฒนาแผนโครงการเมืองอัจฉริยะ โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะสามารถกระตุ้นให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจรวมกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับการผลักดันให้เกิดการดำเนินโครงการต่าง  อย่างเป็นรูปธรรม


กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะประเทศไทยไม่ใช่เพียงการมีแผนงานที่ชัดเจน แต่ต้องมีการบูรณาการการทำงานอย่างคล่องตัวจากผู้ที่มีส่วนกำหนดนโยบาย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานท้องถิ่น ตลอดจนภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ไปจนถึงภาคประชาชนที่มีส่วนร่วมในพื้นที่นั้น  ทั้งหมดล้วนเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม และตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งพื้นที่ที่ถูกเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ในวันนี้ล้วนเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมและมีการกำหนดแผนงานชัดเจน เป็นไปตามแผนการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะประเทศไทย จึงเป็นเหตุผลที่คณะอนุกรรมการฯ มีมติเห็นชอบในวันนี้” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว


สำหรับผลการประชุมในวันนี้จะมีการนำเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ที่มี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อรับทราบ ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา จากนั้นจะมีพิธีประกาศมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทยแก่ 15 พื้นที่ ใน 14 จังหวัดดังกล่าวโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสถัดไป

Terms of Service © 2018 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล