ข่าวมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ครั้งที่ 2/2564รับทราบ มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์พัฒนา เมืองเก่า เห็นชอบโครงการพัฒนา ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีสภาพทรุดเอียง และทรุดโทรม สมควรบูรณะให้กลับมามีความสง่างาม และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญของบ้านเมือง พร้อมทั้งให้สามารถใช้ประโยชน์สาธารณะ ได้อย่างกว้างขวาง เอาจริงๆไม่ค่อยได้สังเกตว่าตึกเอียง เห็นข่าวนี้แล้วตกใจ และทำให้นึกถึงความเป็นมาของ ตึกโดม
ตึกโดมถือได้ว่าเป็นอาคารหลังแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอาคารสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของมหาวิทยาลัย สมดังเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง ว่าไว้ … ปลูกยูงทองไว้เคียงโดมมุ่งประโลมโน้มใจรัก
ธรรมจักรนบบูชาเทิดไว้ … ตึกโดมออกแบบโดย หมิว อภัยวงศ์ สถาปนิกที่จบการศึกษาทางสถาปัตยกรรมจากฝรั่งเศสสถาปนิกที่มีชื่อเสียงรวมถึงมีผลงานมากที่สุดคนหนึ่งของยุคนั้น
การออกแบก่อสร้างตึกโดมธรรมศาสตร์มีลักษณะพิเศษคือไม่ได้เป็นที่ก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอาคารที่มีอยู่เดิม 4 หลังที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 อาคารทั้ง 4 หลังมีสถาปัตยกรรมรูปแบบตะวันตกสูง 2 ชั้นมีขนาดและรูปทรงเหมือนกันวางเรียงต่อกันเป็นแนวยาวหันหน้าลงแม่น้ำเจ้าพระยา
สถาปนิกและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ในเวลานั้นได้กำหนดแนวทางการปรับปรุงอาคารคือคงอาคารทั้ง 4 หลังไว้โดยสร้างหลังคาเชื่อมอาคารทั้งหมดเข้าด้วยกันให้เป็นอาคารหลังเดียวทำให้ตึกโดมเมื่อสร้างเสร็จมีความยาวทั้งหมดถึง 235 เมตร
พื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างอาคารหลังที่ 2 และ 3 จะถูกออกแบบใหม่ให้เป็นอาคารสูง 3 ชั้นและสร้างยอดโดมขึ้นเป็นสัญลักษณ์ตึกโดมได้เริ่มทำการก่อสร้างตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2478 แล้วเสร็จในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2479 และเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.2479
รูปแบบสถาปัตยกรรมที่นายหมิว อภัยวงศ์ออกแบบไว้แสดงให้เห็นถึงวิธีคิดในการปรับปรุงอาคารเก่ามาสู่การใช้งานใหม่ภายใต้รูปแบบใหม่ที่ลงตัวและสร้างความน่าสนใจให้เกิดขึ้นได้ไม่แพ้อาคารที่สร้างใหม่ทั้งหลัง อาคารเดิมทั้ง 4 หลังถูกออกแบบให้ดูเป็นอาคารเดียวกันโดยรื้อหลังคาอาคารเดิมลงและสร้างหลังคาใหม่เชื่อมทั้ง 4 หลังเข้าด้วยกันช่องว่างระหว่างอาคารทั้ง 4 หลังซึ่ง แต่เดิมมีอยู่ 3 ช่องแต่ละช่องกว้างประมาณ 7 เมตรสถาปนิกออกแบบโดยเก็บรักษาไว้ 2 ช่องคือช่องระหว่างตึก 1 กับตึก 2 และซ่องระหว่างตึก 3 กับตึก 4 สาเหตุน่าจะเพื่อใช้เป็นช่องทางเดินเชื่อมต่อไปสู่พื้นที่ทางทิศตะวันออกของมหาวิทยาลัย (ต่อมาคือสนามฟุตบอล) และเหนือช่องว่างระหว่างอาคารทั้ง 2 ของสถาปนิกออกแบบชั้นหลังคาให้สูงขึ้นซึ่งในเชิงความงามแล้วหลังคาส่วนนี้จะช่วยลดทอนความยาวของอาคารทางสายตาลงช่วยให้อาคารไม่แลดูยาวมากจนเกินไปและในแง่การใช้สอยยังเป็นการช่วยเน้นช่องทางเดินเข้าให้ดูเด่นขึ้นส่วนช่องว่างระหว่างตึก 2 กับตึก 3 เป็นจุดกึ่งกลางของอาคารสถาปนิกออกแบบให้เป็นส่วนที่เด่นที่สุดโดยสร้างอาคารขึ้นใหม่มีความสูง 3 ชั้นเชื่อมต่อกับปลายมุขของอาคาร 2 และ 3 ทำให้ส่วนกลางของอาคารนี้มีความกว้างถึง 22 เมตรซึ่งเพียงพอในการทำเป็นโถงทางเข้าและโถงบันไดหลักของอาคารบนหลังคาออกแบบเป็นโดมยอดแหลมสูงประมาณ 16 เมตรเพื่อเน้นทางเข้าและเป็นสัญลักษณ์ของอาคารและต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เพื่อให้สอดคล้องกับอาคารยอดโดมที่ออกแบบใหม่ในส่วนพื้นผิวของอาคาร 2 และ 3 จึงมีการปรับเปลี่ยนลวดลายใหม่ทั้งหมดซึ่งเดิมมีลวดลายแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเปลี่ยนมาเป็นลวดลายที่มีลักษณะเรียบง่ายมากขึ้นตามสมัยนิยมอย่างไรก็ตามในส่วนของอาคาร 1 และ 4ยังคงปล่อยให้มีลวดลายบัวหัวเสาแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกคงเดิมอยู่ใต้
ชายคาของยอดโดมด้านหน้าติดตั้งนาฬิกาขนาดใหญ่เป็น“ นาฬิกาปารีส” สั่งพิเศษจากห้าง เอส.เอ.บี. ส่วนหลังคาตึกโดมมุงด้วยกระเบื้องไม้สักอย่างดีพื้นอาคารปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนเฟอร์นิเจอร์ภายในทั้งหมดสั่งทำจาก“ เกอรสันเฟอนิเจอ” วัสดุประกอบอื่น ๆ เช่นกุญแจลูกบิดบานพับ ฯลฯ สั่งซื้อชนิดอย่างดีที่สุดจากห้างวินด์เซอร์แอนด์โก (ห้างสี่ตา) ซึ่งทั้งหมดได้ทำให้ตึกโดมเป็นตึกที่โดดเด่นและทันสมัยมากที่สุดหลังหนึ่งของยุคสมัยนอกจากความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมแล้วตึกโดมยังมีความโดดเด่นในแง่ของการเข้าไปมีบทบาทในฉากประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่หลายครั้งอาทิการเป็นศูนย์บัญชาการเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นที่เก็บอาวุธสงครามที่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายสัมพันธมิตรหรือเป็นฉากสำคัญในเหตุการณ์เมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ตลอดจนการเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาหลายต่อหลายครั้งซึ่งการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเมืองมากมายเช่นนี้ได้ทำให้ตึกโดมในภายหลังได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
ตึกโดมกลายเป็นสัญลักษณ์ในการแสดงความเป็นตัวตนของคนธรรมศาสตร์มากขึ้นจวบจนกระทั่งในปัจจุบันในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2503-2515 มหาวิทยาลัยได้ทำการรื้ออาคาร 4 ปีกด้านท่าพระอาทิตย์ลงเพื่อทำการก่อสร้างห้องเอทีและในพ.ศ. 2520 อาคาร 1 ฝังท่าพระจันทร์ก็ถูกรื้อลงเพื่อนำพื้นที่ไปสร้างตึกอเนกประสงค์ทำให้ตึกโดมจากที่เคยมีความยาวถึง 235 เมตรเมื่อแรกสร้างคงเหลือความยาวเพียงประมาณ 115 เมตรในปัจจุบันแม้ว่าจะถูกรื้อถอนบางส่วนของอาคารลง แต่ตึกโดมก็ยังคงดำรงสถานะเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสมอมาและไม่ว่ามหาวิทยาลัยจะขยายวิทยาเขตไปอยู่ ณ สถานที่แห่งใดสัญลักษณ์โดมก็จะถูกจำลองนำไปสร้างเป็นอาคารสัญลักษณ์ประจำวิทยาเขตเสมอไม่ว่าจะเป็นตึกโดมบริหารที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตศูนย์ลำปางและศูนย์พัทยาจนอาจกล่าวได้ว่าตึกโดมคือภาพตัวแทนที่สำคัญที่สุดของการสื่อความหมายของความเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เรียบเรียงจาก นามานุกรมธรรมศาสตร์ 77 ปี ๗๗ คำ