ด้วยชัยชนะที่เกิดเป็นปรากฏการณ์ถล่มทลายของ ชัชชาติ สิทธิพันธ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร คนใหม่ เจ้าของคะแนนเสียง 1,382,620 คะแนน วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับว่าที่ผู้ว่าคนนี้กัน!!!
.
เปิดประวัติ รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ที่ได้รับฉายาว่า "รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีรศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ที่ได้ฉายาว่า "รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี" ด้วยภาพ Meme ถือถุงแกง หรือบ้างก็เทียบเป็นหนึ่งในทีม Avengers อย่าง the Hulk
เราจะพาไปทำความรู้จักกับชายที่มีชื่อว่า "ชัชชาติ" กันมากขึ้น
.
รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มีชื่อเล่นว่า ทริป เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 (ปัจจุบันอายุ 55 ปี) เป็นลูกคนสุดท้องของ พล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กับ จิตต์จรุง สิทธิพันธุ์ (นามสกุลเดิม: กุลละวณิชย์) มีพี่สองคน ได้แก่
• ดร.ปรีชญา สิทธิพันธุ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ กรรมการแพทยสภาวาระ พ.ศ. 2562-2564 คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นพี่ชายฝาแฝดของชัชชาติ มีชื่อเล่นว่า ทัวร์
ชัชชาติ จบ ม.ต้นจากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไปต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนที่จะไปเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เกียรตินิยมอันดับ 1
.
จากนั้นชัชชาติได้ไปต่อ ป.โท ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ในวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโครงสร้าง และจบระดับปริญญาเอก ด้วยการใช้ทุนของมูลนิธิอานันทมหิดล ไปเรียนวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญจน์
.
หลังจากที่ชัชชาติทำงานอยู่บริษัทเอกชนเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้ไปรับราชการเป็นอาจารย์สอนประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ได้ตำแหน่งทางวิชาการเป็นรองศาสตราจารย์ และเคยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายจัดการทรัพย์สิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548-2555
.
ระหว่างนั้นชัชชาติยังเคยเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง เช่น การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด รวมไปถึงเป็นกรรมการอิสระ ให้กับบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน)
.
ชัชชาติ เคยเป็นที่ปรึกษานอกตำแหน่ง ให้กับกระทรวงคมนาคมในสมัยรัฐบาลทักษิณ ตลอดจนถึงรัฐบาลสมัคร จากนั้นได้ถูกทาบทามให้เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก่อนที่ภายหลังจะขึ้นเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 จนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยให้เหตุผลที่ว่าอยากเข้ามาสายการเมืองเป็นเพราะว่า อยากให้ลูกชายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากลูกชายเพียงคนเดียว แสนปิติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้พิการทางการได้ยินตั้งแต่กำเนิด
.
ผลงานระหว่างที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของชัชชาติ ได้แก่ การแก้แบบสถานีกลางบางซื่อให้รองรับรถไฟความเร็วสูง , การแก้แบบสายสีแดงเข้มจาก 3 ทางเป็น 4 ทาง , การจัดซื้อจัดขบวนรถด่วนพิเศษ CNR จำนวน 8 ขบวน , การเปลี่ยนรางรถไฟในภาคเหนือตอนบนทั้งหมด , ให้ข้าราชการระดับ 9 ขึ้นไปนั่งรถเมล์มาทำงานแล้วรายงานปัญหา
.
ซึ่งจากแผนงานสุดท้ายที่ให้ราชการนั่งรถเมล์ เจ้าตัวไม่ใช่เพียงแค่สั่งการเท่านั้น แต่ตัวชัชชาติเองได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานด้วย นั่นคือการนั่งรถเมล์ไปทำงาน ได้สอบถามจากปากประชาชนเองโดยตรง เพื่อสะท้อนว่าประเทศไทยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร
.
แต่ชัชชาติ ในฐานะหนึ่งใน ครม. เป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น จากภาพ Meme ถือถุงแกงไปวัด ซึ่งเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า วันนั้นตนไปประชุม ครม. ที่ จ.สุรินทร์ ซึ่งหลังจากที่วิ่งตอนเช้าเสร็จแล้วก่อนที่จะไปประชุม ตนได้แวะทำบุญที่วัดบูรพาราม เป็นวัดของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จากนั้นคงมีชาวบ้านแถวนั้นถ่ายรูปเก็บไว้แล้วนำไปโพสต์บนช่องทางโซเชียลมีเดีย จึงเป็นที่มาของฉายา"รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี"
.
แต่จากจุดเล็ก ๆ ตรงนี้ทำให้รู้ว่านี่คือหนึ่งในช่องทางที่ดีในการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ชัชชาติเลือกที่จะทำป้ายหาเสียงจำนวนน้อยกว่าผู้สมัครเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. คนอื่น ๆ และจากการที่ได้เห็นป้ายหาเสียงของต่างประเทศมีขนาดเล็กเพียงไซส์กระดาษ A3 ไม่บดบังทัศนวิสัย จึงเป็นจุดกำเนิดของป้ายหาเสียงที่มีขนาดเปลี่ยนไป ไม่บังทัศนวิสัย ไม่กีดขวางทางเดินเท้า
.
โดยชัชชาติ ได้ชูนโยบาย "9ดี" มาในการแข่งขันเลือกตั้งครั้งนี้ ประกอบไปด้วย
** ปลอดภัยดี
สร้างแผนที่จุดเสี่ยงอาชญากรรม จราจร และสาธารณภัย เมื่อรู้ก่อนก็จะสามารถป้องกันได้ พร้อมจัดตั้งศูนย์สั่งการ ชัดเจน คล่องตัว ในการรับมือสาธารณภัย และให้พนักงาน กทม. ช่วยกันเป็นหูเป็นตาแจ้งเหตุ ถนนพัง ไฟดับ ทางเท้าทรุด
** เดินทางดี
ใช้ระบบจัดการจราจรอัจฉริยะ (ITMS) บริหารจราจรทั้งโครงข่ายเพื่อบรรเทาปัญหาจราจร พัฒนารถสาธารณะทั้งระบบ เพื่อรถสายหลักและรอง (Trunk and Feeder) ให้มีราคาถูกและเป็นราคาเดียว พร้อมหารือเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อลดรายจ่ายประชาชน และท้ายสุดพัฒนาทางเดินเท้าให้มีคุณภาพ
** สุขภาพดี
เชื่อมโยงประวัติคนไข้ภายในสถานพยาบาลของกรุงเทพฯ เพื่อการส่งต่อและดูแลรักษาได้อย่างทั่วถึง เพิ่มการรักษา-ทรัพยากรในศูนย์บริการสาธารณสุข (ศบส.) จัดทำโครงการหมอถึงบ้านผ่าน Telemedicine และเพิ่มพื้นที่ออกกำลังกาย พัฒนาลานกีฬาต้นแบบ 180 แขวง 180 ลาน ภายใน 100 วันแรก
** สร้างสรรค์ดี
เปลี่ยนศาลาว่าการ กทม. เดิม เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองและพื้นที่สาธารณะ สร้าง Open Art Map and Calendar ให้ประชาชนปักหมุดกิจกรรมเพื่อตามเสพงานศิลป์ได้ทั่วกรุง รวมไปถึงการจัดทำฐานข้อมูลรวมพื้นที่ของรัฐและเอกชนให้ประชาชนเลือกใช้จัดกิจกรรม
** สิ่งแวดล้อมดี
วางโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้นเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อให้เป็นกำแพงกรองฝุ่นตามธรรมชาติ รวมถึงการดูแลด้วยการจัดหารุกขกรมืออาชีพดูแลต้นไม้ประจำเขต เดินหน้าโครงการตรวจจับรถปล่อยควันดำเชิงรุกจากต้นทาง เช่น สถานีรถโดยสาร และไซต์ก่อสร้าง จัดทำโครงการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง มุ่งเป้าองค์กร
** โครงสร้างดี
วางแผนต้นแบบเมืองใหม่ (ชานเมือง) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กระจายแหล่งงาน ลดการกระจุกตัวในเขตเมือง จัดตั้งโครงการลอกท่อ คูคลอง ติดตั้งเครื่องสูบน้ำประสิทธิภาพสูง ลดจุดเสี่ยงน้ำท่วม พร้อมหาพื้นที่รับน้ำธรรมชาติ
** บริหารจัดการดี
พัฒนาระบบการขออนุญาตจาก กทม. ให้ประชาชนตรวจสอบและติดตามได้ พร้อมทบทวนข้อบัญญัติ กทม. และปรับปรุงให้เป็นปัจจุบัน จัดสรรงบประมาณบริหารกรุงเทพฯ ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน (Participatory Budgeting) และเปิดให้ประชาชนร่วมประเมิน ผอ.เขต และผู้ว่าฯ ได้
** เรียนดี
เปิดโรงเรียน กทม. ให้สามารถไปเล่นหรือเรียนได้ในวันหยุด ขยายเวลาโรงเรียนให้สอดคล้องกับเวลางานของผู้ปกครอง มีครูเฝ้า มีกิจกรรมสร้างสรรค์จากวิทยากรทั้งในและนอก เพิ่มหลักสูตรภาษาต่างประเทศ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการทำงานในโรงเรียนสังกัด กทม. พร้อมสำหรับทักษะที่จำเป็นในอนาคต
** เศรษฐกิจดี
ปั้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทั่วกรุงเทพฯ 12 เทศกาลตลอดปี ชูอัตลักษณ์ย่านต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับผู้ค้าแผงลอยให้มีความยั่งยืน เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงิน ให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี และจัดหาสถานที่ค้าขาย จัดทำโครงการสร้างแบรนด์ Made in Bangkok (MIB) คัดเลือกและพัฒนาสินค้าจากผู้ผลิตในกรุงเทพฯ โปรโมตและต่อยอดผลิตภัณฑ์ ไปสู่ตลาด E-Commerce ขนาดใหญ่
.
และเมื่อคืนที่ผ่านมา ว่าที่ผู้ว่าท่านนี้ได้ขึ้นเวทีแถลงข่าวหลังเห็นภาพรวมของคะแนนที่นำขาด โดยกล่าวว่า…. “ผมพร้อมจะเป็นผู้ว่าฯของทุกคนไม่ว่าท่านไหนจะเลือกหรือไม่เลือกผม เราเห็นต่างกันได้แต่เราอย่าทะเลาะกัน เราต้องดูแลทุกอย่างอย่างเท่าเทียมกัน กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งความหวัง เราเห็นต่างกันได้ แต่เราอย่าเกลียดกัน โกรธกัน เราต้องคุยกันด้วยเหตุผล ผมเชื่อว่าเราทำกรุงเทพฯให้เป็นมหานครที่เราเดินไปพร้อมกัน และเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน”