X
ปี 64 ปีเดียว 372 ข่าว ความรุนแรงในครอบครัว สถิติพุ่งต่อเนื่อง

ปี 64 ปีเดียว 372 ข่าว ความรุนแรงในครอบครัว สถิติพุ่งต่อเนื่อง

7 มี.ค. 2566
1660 views
ขนาดตัวอักษร

มี..66 - วันสตรีสากล พบผู้หญิงถูกกระทำความรุนแรงรายวัน ชี้ 16 ปี ...คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เผยสถิติจากข่าวความรุนแรงในครอบครัวปี 64 สูงถึง 372 ข่าว ฆ่ากันตายเกินครึ่ง ผัวฆ่าเมียเยอะสุด รองลงมาคือคู่รักแบบแฟน


มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว และแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาถอดบทเรียน “16 ปี ...คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ..2550” เนื่องในโอกาส 8 มีนาฯ วันสตรีสากลโดยนางสาวอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ 


มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากการรวบรวมข่าวหนังสือพิมพ์ 11 ฉบับ และข่าวจากสื่อออนไลน์ตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม 2564

มีข่าวความรุนแรงในครอบครัว 372 ข่าว 

มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้น 92 ข่าว คิดเป็น 24.7% 

ยาเสพติด 64 ข่าว คิดเป็น 17.2% 

จะเห็นว่าสถิติไม่ได้ลดลงเลย โดยเฉพาะ

การฆ่ากันตายในครอบครัวมีถึง 195 ข่าว คิดเป็น 52.4% 

ทำร้ายกัน 82 ข่าว คิดเป็น 22% 

ฆ่าตัวตาย 52 ข่าว คิดเป็น 14% 

โดยความสัมพันธ์แบบสามีฆ่าภรรยาสูงสุด 57 ข่าว คิดเป็น 63.4% 

สาเหตุมาจาก หึงหวง ระแวงว่าภรรยานอกใจ 45 ข่าว คิดเป็น 60% 

ง้อไม่สำเร็จ 11 ข่าว คิดเป็น14.7% 

วิธีการที่ใช้มากสุด คือ

ปืนยิง 34 ข่าว คิดเป็น 43% 

ใช้มีดหรือของมีคม 27 ข่าว คิดเป็น 34.2% 

ตบตีทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต 7 ข่าว คิดเป็น 8.8%


ที่น่าห่วงคือความสัมพันธ์แบบแฟน ซึ่งฝ่ายชายกระทำต่อฝ่ายหญิง 27 ข่าว คิดเป็น 65.9% ซึ่งผู้ถูกกระทำจำนวนมากไม่สามารถก้าวออกจากความสัมพันธ์ได้โดยเฉพาะคู่รักนักศึกษา หรือวัยทำงาน ที่ไม่ได้บอกความสัมพันธ์ให้ครอบครัวรับรู้ คิดว่าครอบครัวจะไม่เข้าใจ หรือมองปัญหาเป็นเรื่องส่วนตัวภายใต้ระบบคิดแบบชายเป็นใหญ่ 

ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาความรุนแรง สังคมต้องเริ่มต้นจากการป้องกันโดยจับสัญญาณความรุนแรงในคู่รัก ก่อนทำร้ายร่างกายกันจริง  เช่น หึงหวง เพิกเฉย ทำให้อับอาย ควบคุม รุกราน ข่มขู่ พยายามปั่นหัว แบล็คเมล์ หรือตัดขาดเป็นต้น เพื่อหาทางออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยอย่างสันติ การปรับแก้กฎหมายครอบครัวที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายครอบครัวเพื่อทำให้ผู้ถูกกระทำตัดสินใจใช้กลไกดังกล่าวในการคุ้มครองสวัสดิภาพตนเองได้  ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็กเรื่องการเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกาย ความรักที่ไม่ใช่เจ้าของชีวิต

ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า...คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฯ ยังมีปัญหาหลายด้าน ที่สำคัญคือเจตนารมณ์และหลักการของกฎหมายที่ให้น้ำหนักกับการรักษาความสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว มากกว่าที่จะเน้นการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกระทำและชัดมาก

ในมาตรา 15 ระบุว่า “ไม่ว่าการพิจารณาคดีฯ จะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด ก็ให้ศาลพยายามเปรียบเทียบปรับให้คู่ความได้ยอมความกัน โดยมุ่งถึงความสงบสุขและการอยู่ร่วมกันในครอบครัวเป็นสำคัญ” ซึ่งข้อความนี้ กลายเป็นพิมพ์เขียวในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐที่มองว่า แม้จะมีการทำร้ายกันในครอบครัว แต่ต้องพยายามรักษาครอบครัวให้เขาอยู่ด้วยกันต่อไปให้ได้ ผู้ถูกกระทำเลยไม่ได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างที่ควรจะเป็นอีกปัญหาคือกฎหมายไม่ได้ออกแบบรองรับให้การทำงานแบบบูรณาการสหวิชาชีพ ซึ่งสำคัญมาก เพราะปัญหามีความซับซ้อน ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย แต่กฎหมายกำหนดให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดูแลเพียงหน่วยเดียว ความร่วมมือจากฝ่ายอื่นจึงเป็นแบบกระท่อนกระแท่น

อันที่จริงแล้ว หัวใจของกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงไม่ว่าของประเทศใด ต้องเน้นว่าผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงคือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ขั้นพื้นฐานที่สุดคือสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องคุ้มครองและอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้ถูกละเมิด

ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กฎหมายที่ออกมาบังคับใช้ 16 ปีที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่ดี เช่น การให้ใครก็ได้เป็นผู้แจ้งความ และการขยายการนับอายุความ หรือมาตรา 9 ห้ามเสนอข่าวเมื่อเริ่มดำเนินคดี และมาตรา 10 ให้มีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ถูกกระทำ อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ยังมีจุดอ่อนหรือช่องโหว่มาก 

ซึ่งถ้าดูตามเจตนารมณ์ คนที่กฎหมายอยากจะคุ้มครองคือผู้ถูกกระทำ แต่การเขียนตัวอักษรไว้ในกฎหมายมาตราต่าง นั้นกลับมีปัญหา มุ่งไปที่แนวทางปฏิบัติของรัฐมากกว่า ไม่ได้เอาการคุ้มครองเหยื่อ หรือผู้ถูกกระทำความรุนแรงเป็นศูนย์กลาง เช่น ใน 7 บรรทัดแรกเขียนถึงสิ่งที่รัฐต้องทำเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัยของผู้อยู่ในครอบครัว แต่ 3 บรรทัดสุดท้ายกลับลงท้ายว่า “รวมทั้งสามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวไว้ได้” เน้นการไกล่เกลี่ย ยอมความ ซึ่ง 2 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ดังนั้นจะทำอย่างไรให้กฎหมายนี้เกิดการบังคับใช้เพื่อคุ้มครองผู้ถูกกระทำจริง 

อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย
Terms of Service © 2018 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล