6 มิ.ย.66 - ฤกษ์งามวันดี 6 เดือน 6 ปี 66 ครบรอบ 666 ปี พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก
ชาวพิษณุโลก ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 666 ปี พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง “พระพุทธชินราช” วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก ตรงกับวันที่ 6 เดือน 6 ปี 66 โดยชาวพิษณุโลก มาร่วมกันพับดอกบัวถวาย10,999 ดอก ที่อาคารพระสวัสดีราชและอาคารขุนพิเรนทรเทพ ภายในพระราชวังจันทน์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก พร้อมกับประชาชนและนักท่องเที่ยวเพื่อนำไปถวาย “พระพุทธชินราช” ในโอกาสสำคัญ พร้อมกันนี้จะมีนางรำทั้งหมด 666 คน รำรอบ พระวิหารหลวงพระพุทธชินราช นำพานดอกบัว ไปไว้ในจุดถวายภายในพระวิหารหลวง ถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์เป็นพุทธบูชา
ทั้งนี้จังหวัดพิษณุโลก ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิษณุโลก สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดพิษณุโลกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดพิษณุโลก ร่วมกันจัดงานสำคัญ “666 ปี พระพุทธชินราช” ชูเป็น Soft Power ของจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งพระพุทธชินราช ได้รับการยอมรับว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดองค์หนึ่งของโลก ซึ่งเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวเดินทางมาพิสูจน์ความสวยงามของพุทธศิลป์ และความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านประวัติศาสตร์ ศาสนาวัฒนธรรม และเศรษฐกิจของจังหวัดได้เป็นอย่างดี
สำหรับ “พระพุทธชินราช” ประดิษฐานอยู่ในวิหารด้านตะวันตก ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1900 ตรงกับรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย จนถึงปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามที่สุดในประเทศ และขึ้นชื่อในความศักดิ์สิทธิ์องค์สำคัญของไทย
ตามประวัติ พระพุทธชินราช สร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธรูปอีก 2 องค์ คือ "พระพุทธชินสีห์" และ "พระศรีศาสดา" โดยมีตำนานการสร้างองค์พระรูปในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า
เมื่อพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก (เชื่อว่าเป็นพญาลิไทย) ได้โปรดให้สร้างเมืองพิษณุโลกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็โปรดให้สร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุขึ้น โดยมีพระมหาธาตุรูปปรางค์ สูง 8 วา และพระวิหารทิศ กับระเบียงรอบพระมหาธาตุทั้ง 4 ทิศ พระองค์โปรดให้ช่างชาวเชลียง (สวรรคโลก) เชียงแสน และหริภุญชัย (ลำพูน) ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ขึ้น 3 องค์ สำหรับประดิษฐานในพระวิหารทิศ โดยได้ทำพิธีเททองหล่อในวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ สัปตศกจุลศักราช 317 (พ.ศ.1498)
แต่เมื่อกะเทาะหุ่นออกแล้ว ทองกลับแล่นติดเป็นองค์พระบริบูรณ์เพียง 2 องค์ คือพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ส่วนพระพุทธชินราช ทองไม่แล่นติดเต็มพระองค์ ทำพิธีหล่อต่อมาอีก 3 ครั้งก็ยังไม่สำเร็จ ครั้งหลังสุด พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกตั้งสัจจาธิษฐานแล้วทำพิธีเททองหล่ออีกครั้ง ปรากฏว่าในครั้งนี้มีชีปะขาวผู้หนึ่ง มาแต่ใดไม่มีใครทราบ ได้มาช่วยปั้นหุ่นและเททองหล่อพระจนพระพุทธรูปออกมาสำเร็จสวยงามไม่มีที่ติ เล่าลือกันว่าชีปะขาวผู้นั้นคือเทวดาแปลงตัวมาช่วยหล่อพระ พระพุทธชินราชจึงได้มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก แต่เมื่อเสร็จพิธีหล่อพระแล้ว ชีปะขาวกลับหายตัวไปไม่มีผู้ใดพบเห็น หมู่บ้านที่ชีปะขาวหายตัวไปนั้นจึงได้ชื่อว่า “บ้านตาปะขาวหาย” มาจนปัจจุบัน
ซึ่งทองสัมฤทธิ์ที่เหลือจากการหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ยังสามารถนำมาหล่อเป็นพระพุทธรูปเล็ก ๆ อีกองค์หนึ่งมีชื่อว่า “พระเหลือ” ซึ่งก็ยังมีทองเหลือสามารถหล่อเป็นพระสาวกของพระเหลือได้อีกสององค์ อิฐที่ก่อเตาหลอมทองและใช้ในการหล่อพระนั้นก็ได้นำเอามารวมกันก่อเป็นชุกชีสูงสามศอก ตรงตำแหน่งที่หล่อพระพุทธชินราชและปลูกต้นมหาโพธิ์บนชุกชี 3 ต้น เรียกว่า "โพธิ์สามเส้า” และได้สร้างวิหารน้อยขึ้นระหว่างต้นโพธิ์ อัญเชิญพระเหลือพร้อมพระสาวกเข้าประดิษฐานในวิหารนั้น เรียกว่า "วิหารหลวงพ่อเหลือ" ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าพระวิหารพระพุทธชินราช
โดยพระพุทธรูปทั้ง 4 องค์ คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระเหลือ ได้ประดิษฐานไว้ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ นับแต่นั้นมา
•พระพุทธชินราช ประดิษฐาน ณ พระวิหารใหญ่ด้านทิศตะวันตก
•พระพุทธชินสีห์ประดิษฐาน ณ พระวิหารด้านทิศเหนือ
•พระศรีศาสดาประดิษฐาน ณ พระวิหารด้านทิศใต้
•พระเหลือ ประดิษฐานอยู่ในวิหารน้อย
“กลายเป็นพระพุทธรูปพี่น้องที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกมาอย่างยาวนาน”
จนกระทั้งในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2372 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 ได้เสด็จไปเยือนวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ทรงเห็นว่าวิหารมีความชำรุดทรุดโทรม จึงทรงโปรดเกล้าฯ “ให้อัญเชิญพระพุทธชินสีห์มาประดิษฐานไว้ในพระนคร โดยได้อัญเชิญมาไว้ภายในมุขหลังพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร”
•
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์มีพระราชประสงค์จะสร้างเจดีย์ขึ้นด้านหลังพระอุโบสถวัดบวรฯ จึงต้องรื้อมุขด้านหลังออก “จึงได้อัญเชิญพระพุทธชินสีห์มาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถคู่กับพระสุวรรณเขต พระประธานองค์เดิมในพระอุโบสถ ทำให้พระอุโบสถในวัดบวรนิเวศมีพระพุทธรูปสององค์มาจนถึงปัจจุบันนี้”
ขณะที่ “พระศรีศาสดา ก็ถูกอัญเชิญมาที่พระนครเช่นกัน โดยเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ได้อัญเชิญพระศรีศาสดาลงแพล่องไปที่วัด ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติได้อัญเชิญพระศรีศาสดาไปประดิษฐานที่วัดประดู่ฉิมพลี แต่รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่า พระศรีศาสดาเป็นพระพุทธรูปสำคัญ เคยอยู่ในพระอารามหลวง อีกทั้งเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคราวเดียวกันกับพระพุทธชินสีห์ พระองค์จึงทรงให้อัญเชิญพระศรีศาสดามาไว้ที่พระวิหารวัดบวรนิเวศฯ” อีก 1 องค์
ต่อมาในรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธชินราชจำลองขึ้นใน พ.ศ.2444 ณ บริเวณโพธิ์ 3 เส้า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก และอัญเชิญพระพุทธชินราชจำลองลงแพแล้วล่องลงมายังกรุงเทพมหานคร
ส่วนพระพุทธชินราชองค์จริงก็ยังคงประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองสองแคว ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุสืบมาจนปัจจุบัน เช่นเดียวกับ พระเหลือ ที่ยังคงประดิษฐานอยู่ในวิหารน้อยเช่นเดิม ส่วนพระวิหารด้านทิศเหนือ พระวิหารด้านทิศใต้ที่เคยประดิษฐานพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดานั้น ปัจจุบันได้สร้างพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาองค์จำลองและนำไปประดิษฐานไว้แทน