“วันออกพรรษา” ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 นับได้ว่าเป็นระยะเวลาสิ้นสุดการจำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ รวมระยะเวลา 3 เดือน Backbone MCOT จึงขอนำตำนาน เรื่องเล่าของ “พญานาค” หนึ่งในความเชื่อของประชาชนริมฝั่งแม่น้ำโขง มาเล่าให้ทุกคนฟังกัน
“แม่น้ำโขง” เป็นแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับได้ว่าเป็น “มหานทีแห่งชีวิต” กล่าวคือ เป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของประชาชนริมฝั่งแม่น้ำโขง เปรียบเสมือนสายสัมพันธ์ ระหว่างประเทศบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงที่มีทั้ง วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมไปถึงขนบธรรมเนียม และประเพณีต่าง ๆ รวมไปถึงความเชื่อเกี่ยวกับ “พญานาค” ที่ร่วมกัน หล่อหลอมจนเกิดเป็น “อารยธรรมลุ่มน้ำโขง”
พญานาค เจ้าพญาแห่งสายน้ำโขง
“พญานาค” สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ “พญานาค” ตำนานความเชื่อของ “พญานาค” นั้นมีอย่างแพร่หลาย แต่ละภูมิภาคก็มีความแตกต่างกันไป โดยชาวบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักจะเชื่อกันว่า “พญานาค” นั้นอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และยีงเชื่อกันว่ามีผู้คนเคยพบร่องรอยของพญานาคที่ขึ้นมายังโลกมนุษย์ รวมไปถึงปรากฏการณ์ “บั้งไฟพญานาค” ที่เกิดขึ้นใน “วันออกพรรษา” กล่าวกันว่า ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อส่วนใหญนั้นจะมีลักษณะลำตัวเป็นงูตัวใหญ่ มีหงอนสีทองและตาสีแดง มีเกล็ดเหมือนปลาซึ่งมีสีแตกต่างกันไปตามบารมีของนาคตน
กำเนิดนาคา
เนื่องจากพญานาคมีหลายเผ่าพันธุ์ ดังนั้นการกำเนิดของพญานาคจึงมีหลายลักษณะแตกต่างกันไป แต่ในด้านพระพุทธศาสนา ได้แบ่งการกำเนิดของพญานาคเอาไว้ 4 ประเภท (โชติ ศรีสุวรรณ และเกริก ท่วมกลาง, 2560 : 21-24) คือ
- 1. กำเนิดแบบโอปปาติกะ คือ กำเนิดโดยผุดขึ้นเป็นตัวทันที ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ มีอายุเท่ากับคนอายุ 16-17 ปี เป็นการกำเนิดขึ้นจากบุญบารมี มีลักษณะกำเนิดเหมือนเทวดา พรหม เปรต หรือสัตว์นรก พญานาคที่กำเนิดในลักษณะที่จะมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าพญานาคที่กำเนิดในลักษณะอื่น ๆ จัดอยู่ในพญานาคชั้นสูงในชั้นปกครองหรือตำแหน่งองค์นาคาธิบดี จะมีบารมีมาก มีบริวารคอยรับใช้
- 2. กำเนิดแบบสังเสทชะ คือ กำเนิดในเหงื่อไคลหรือที่ชื้นแฉะ สิ่งสกปรกในน้ำสกปรกที่หมักหมม ในเปลืองตม กำเนิดโดยไม่อาศัยฟองหรือครรภ์มารดา แต่อาศัยเกิดจากต้นไม้ ผลไม้ ดอกไม้ ของโสโครก ที่ชุ่มชื้น เชื้อรา นาคที่เกิดในลักษณะที่จะมีลักษณะเป็นกึ่งเดรัจฉานกึ่งทิพย์ เมื่ออยู่ในบาดาลจะสามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ ทำหน้าที่เป็นบริวารรับใช้อยู่ในวิมาน ณ ภพบาดาลของพวกโอปปาติกะ
- 3. กำเนิดแบบชลาพุทชะ คือ การกำเนิดจากครรภ์ของมารดา เป็นผู้ให้กำเนิดอย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นาคที่เกิดในลักษณะนี้จะมีอิทธิฤทธิ์มากน้อยตามบุญกรรมที่ได้สั่งสมมา อยู่ในชั้นปกครอง รักษาศีลก็มี ไม่รักษาศีลก็มี แตกต่างกันไป จะเป็นพญางูหรือเทพเจ้าเสียส่วนใหญ่
- 4. กำเนิดแบบอัณฑชะ คือ การกำเนิดจากฟองไข่ เหมือนงูทั่วไป ไข่ออกมาสักระยะหนึ่งจึงฟักเป็นตัว นาคประเภทนี้มีพิษร้ายกาจ แต่ส่วนใหญ่เป็นงูชั้นล่าง เช่น งูเห่า งูจงอาง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคที่เกี่ยวข้องกับ “วันออกพรรษา” อีกด้วย เช่น บั้งไฟพญานาค ที่จะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น มีความเชื่อกันว่าที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย มีเมืองบาดาลอยู่ใต้พื้นดินและเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ เรียกว่า เป็นเมืองหน้าด่าน จึงมีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเป็นประจำที่นี่
จะเห็นได้ว่า “พญานาค” นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราว ที่ประชาชนริมฝั่งแม่น้ำโขงมีร่วมกันมาอย่างยาวนาน ทั้งด้านความเชื่อ ตำนาน เรื่องเล่า รวมไปถึงประเพณีและวัฒนธรรมต่าง ๆ หล่อหลอมรวมกันจนเกิดเป็น “อารยธรรมลุ่มน้ำโขง” นั่นเอง.
อ้างอิง
โชติ ศรีสุวรรณ และเกริก ท่วมกลาง. (2560). ตำนานพญานาคและคำชะโนด ปากทางสู่เมืองบาดาล.
กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์.
ฤดีมน ปรีดีสนิท. (2544). มองตำนานอ่านอดีต : พิธีกรรมและความเชื่อของชุมชนสองฝั่งโขง.
กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.
ศรีศักร วัลลิโภดม. (2533). แอ่งอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ : มติชน.
ส.พลายน้อย. (2528). นิทานลาว. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น.