หลังจากที่ ครม. เห็นชอบให้ “นาค” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์ในตำนานของไทย ต่อยอด Soft Power ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Backbone MCOT จึงขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับ “นาค” สัตว์ในตำนาน เอกลักษณ์ประจำชาติไทยกัน
“นาค” หรือ “พญานาค” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2554 ได้ให้ความหมายเอาไว้ว่า เป็นคำนาม หมายถึง งูใหญ่มีหงอน เป็นสัตว์ในนิยาย นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา
จากภาพต้นแบบของนาคเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์ในตำนาน ที่ทางคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้มอบหมายกรมศิลปากร สำนักช่างสิบหมู่ ดำเนินการร่างนั้นเป็นรูปพญานาคสี่ตระกูล คือ ตระกูลวิรูปักษ์ (สีทอง) ตระกูลเอราปถ (สีเขียว) ตระกูลฉัพพยาปุตตะ (สีรุ้ง) และตระกูลกัณหาโคตมะ (สีดำ) และมีนาคตัวใหญ่สุด คือ นาควาสุกรี ซึ่งเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ ส่วนรายละเอียดประกอบภาพ เช่น คลื่นน้ำและศาสนสถาน สื่อให้เห็นว่านาคเป็นสัญลักษณ์แห่งน้ำและความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงบทบาทการเป็นผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา
นาคแบ่ง ออกได้เป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ
1. ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง เป็นพวกมีบุญ วาสนา มีฤทธานุภาพมาก เหมือนกับเทวดาองค์หนึ่ง มีวิมานเป็นของตนเอง และมีบริวารมากมาย
2. ตระกูลเอราปัถ พญานาคตระกูลสีเขียว เป็นพวกมีบุญวาสนา ฤทธานุภาพรองลงมาจากตระกูลวิรูปักษ์ ที่อยู่สุขสบาย บางตนมีบริวารรับใช้ บางตนไม่มี
3. ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง มีเจ็ดสีในตัว มีบุญวาสนามาก ฤทธานุภาพรองลงมาจากตระกูลวิรูปักษ์และตระกูลเอราปัถ มีฤทธิ์พอสมควร มีที่อยู่ตามบุญกรรมที่สั่งสมมา
4. ตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ ส่วนใหญ่อยู่เป็นสังคม เว้นแต่บางตนต้องรับหน้าที่ในการเฝ้าสมบัติต่าง ๆ มีอิทธิฤทธิ์ตามผลงาน
พญานาคนั้นมีการกำเนิดหลายลักษณะ ในด้านของพระพุทธศาสนา สามารถแบ่งการกำเนิดได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. กำเนิดแบบโอปปาติกะ คือ กำเนิดโดยผุดขึ้นเป็นตัวทันที ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ มีอายุเท่ากับคนอายุ 16-17 ปี เป็นการกำเนิดขึ้นจากบุญบารมี มีลักษณะกำเนิดเหมือนเทวดา พรหม เปรต หรือสัตว์นรก พญานาคที่กำเนิดในลักษณะที่จะมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าพญานาคที่กำเนิดในลักษณะอื่น ๆ จัดอยู่ในพญานาคชั้นสูงในชั้นปกครองหรือตำแหน่งองค์นาคาธิบดี จะมีบารมีมาก มีบริวารคอยรับใช้
2. กำเนิดแบบสังเสทชะ คือ กำเนิดในเหงื่อไคลหรือที่ชื้นแฉะ สิ่งสกปรกในน้ำสกปรกที่หมักหมม ในเปลืองตม กำเนิดโดยไม่อาศัยฟองหรือครรภ์มารดา แต่อาศัยเกิดจากต้นไม้ ผลไม้ ดอกไม้ ของโสโครก ที่ชุ่มชื้น เชื้อรา นาคที่เกิดในลักษณะที่จะมีลักษณะเป็นกึ่งเดรัจฉานกึ่งทิพย์ เมื่ออยู่ในบาดาลจะสามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ ทำหน้าที่เป็นบริวารรับใช้อยู่ในวิมาน ณ ภพบาดาลของพวกโอปปาติกะ
3. กำเนิดแบบชลาพุทชะ คือ การกำเนิดจากครรภ์ของมารดา เป็นผู้ให้กำเนิดอย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นาคที่เกิดในลักษณะนี้จะมีอิทธิฤทธิ์มากน้อยตามบุญกรรมที่ได้สั่งสมมา อยู่ในชั้นปกครอง รักษาศีลก็มี ไม่รักษาศีลก็มี แตกต่างกันไป จะเป็นพญางูหรือเทพเจ้าเสียส่วนใหญ่
4. กำเนิดแบบอัณฑชะ คือ การกำเนิดจากฟองไข่ เหมือนงูทั่วไป ไข่ออกมาสักระยะหนึ่งจึงฟักเป็นตัว นาคประเภทนี้มีพิษร้ายกาจ แต่ส่วนใหญ่เป็นงูชั้นล่าง เช่น งูเห่า งูจงอาง
ขอบคุณข้อมูลจาก : โชติ ศรีสุวรรณ และเกริก ท่วมกลาง. (2560). ตำนานพญานาคและคำชะโนด ปากทางสู่เมืองบาดาล. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์.