กัญชา เป็นพืชในวงศ์ Cannabidaceae มี 3 สายพันธุ์ที่พบบ่อยคือ Cannabis sativa, Cannabis indica และ Cannabis rudealis สำหรับสายพันธุ์ที่พบมากในประเทศเทศไทยจะเป็นสายพันธุ์ Cannabis sativa ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีในลักษณะอากาศแบบร้อนชื้น
ลักษณะการใช้กัญชาในอดีตมี 2 ลักษณะตามชื่อเรียก คือ การใช้ผงแห้งของใบและดอก มามวนเป็นบุหรี่สูบ และการใช้ยางจากต้น มาเผาไฟและสูดดม จากประวัติศาสตร์พบว่าการใช้กัญชา เพื่อรักษาโรคนั้น เริ่มขึ้นในประเทศจีน จักรพรรดิเสินหนิงของจีน ซึ่งเป็นผู้ค้นพบวิธีการชงชาและการดื่มชา เป็นผู้อธิบายสรรพคุณทางยาของพืชกัญชาในตำรายาสมุนไพรจีนเป็นครั้งแรก และริเริ่มให้มีการเพาะปลูกพืชกัญชา เพื่อใช้เป็นยารักษาโรคนับจากนั้นเป็นต้นมา
กัญชานั้นมีสรรพคุณทางการแพทย์ สามารถใช้ระงับอาการปวด เพิ่มความอยากอาหาร ลดการอาเจียน คลายกล้ามเนื้อ และลดอาการชักได้ ได้มีการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในประเทศอังกฤษและในกลุ่มประเทศตะวันตก ตลอดจนมีการซื้อขายกัญชาในร้านยาทั่วไป ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย จนกระทั่งในปี ค.ศ.1937 ในประเทศอเมริกา ได้มีการรายงานว่า การใช้กัญชามีผลทำให้ผู้ใช้ขาดสติ เกิดอาการประสาทหลอน และก่อให้เกิดอาชญากรรมขึ้นได้ จึงมีการยกเลิกการใช้กัญชาในการรักษาโรค
ในประเทศไทย กัญชาถูกจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แต่ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับใหม่ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 25622 ซึ่งอนุญาตให้สามารถนำมาใช้ในกรณีจำเป็น เพื่อประโยชน์ของทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย หรือการศึกษาวิจัย และพัฒนาการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ได้
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ การใช้กัญชาในการรักษาอาการและโรคต่างๆ
- ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการได้รับเคมีบำบัด
- เพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยมะเร็งและเอดส์
- ลดอาการปวดแบบฉับพลัน และแบบเรื้อรัง
- ลดอาการปลอกประสาทเสื่อม เป็นความผิดปกติทางระบบประสาท ซึ่งมักเกิดร่วมกับการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง และมีอาการปวดแบบเรื้อรัง
- ช่วยควบคุมอาการลมชัก
- ลดความดันในตาของผู้ป่วยต้อหิน ส่งผลให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นได้
- ป้องกันและรักษาอาการสมองฝ่อ
- คลายความวิตกกังวล
- การรักษามะเร็ง สามารถยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งปอด
ข้อห้ามใช้และอาการข้างเคียง
มีคำแนะนำว่าไม่ควรใช้สารกลุ่มนี้ในผู้ที่ตั้งครรภ์ ผู้อยู่ระหว่างให้นมบุตร และผู้ป่วยจิตเวช ส่วนการใช้กับผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจ และโรคความดัน ควรอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิด โดยควรเริ่มจากขนาดต่ำก่อน และถ้าจำเป็นต้องเพิ่มขนาดควรทำช้าๆ
อาการข้างเคียงที่พบบ่อยคือ
- ง่วงซึม, มึนงง, ปวดศีรษะ
- การมองเห็นไม่ชัดเจน
- ปากแห้งวิตกกังวล
- มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
- คลื่นไส้
-มีความผิดปกติของการรับรู้
อาการที่ไม่ค่อยพบเช่น
- เดินเซ, ซึมเศร้า, ท้องเสีย, ความดันต่ำ, หวาดระแวง, และปวดท้อง อาเจียน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสารกลุ่มนี้ ยังจัดเป็นวัตถุเสพติดในประเทศไทย แม้เพิ่งอนุญาตให้สามารถนำมาทำการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ได้ แต่ยังไม่มีความครอบคลุมสำหรับทุกโรค และยังคงต้องรอผลการวิจัยเพิ่มเติม ทางคลินิกให้มากกว่านี้
อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก : >> https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/index.php