ศาสตราจารย์ มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลและประธานกลุ่มวิจัยคลัสเตอร์สุขภาพ เครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (RUN) กล่าวถึง การวัคซีนป้องกัน COVID-19 ขึ้น ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 คือ วิธีการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดในขณะนี้ โดยวัคซีนทุกตัวที่เรานำมาใช้ผ่านการวิจัยและทดสอบความปลอดภัยมาแล้วทั่วโลก ซึ่งการที่ได้เริ่มต้นทดสอบในผู้ใหญ่ก่อนเนื่องจากเป็นมาตรฐานทางจริยธรรม เมื่อผ่านการทดสอบและเห็นแล้วว่าได้ผลดี จึงเริ่มมาทดสอบในเด็ก โดยในระยะแรกได้เริ่มฉีดให้กับเด็กที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปก่อนจะฉีดให้เด็กที่มีอายุต่ำลงมาต่อไปเมื่อได้ผลการวิจัยเป็นที่ยอมรับ
นพ.มานพ พิทักษ์ภากร ได้ไขข้อข้องใจถึงผลกระทบในระยะยาวของวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่หลายคนเป็นห่วงว่า เมื่อพิจารณาถึงบริบทของการพัฒนาวัคซีนโดยทั่วไปแล้ว หากจะเกิดผลข้างเคียงใดๆ มักจะเกิดขึ้นภายใน 1 - 2 เดือนแรกเท่านั้น ซึ่งในส่วนของผลกระทบในระยะยาวของวัคซีนป้องกัน COVID -19 คงต้องรอดูผลต่อไป เนื่องจาก COVID-19 เพิ่งเริ่มต้นแพร่ระบาดได้เพียงประมาณหนึ่งปีเศษเท่านั้นยังไม่มีข้อมูลที่เกินกว่า 2 ปี
ในแง่ของประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ในเด็ก จากการทดสอบทางคลินิกในต่างประเทศไม่พบข้อสงสัยใดๆ โดยพบว่าเด็กที่ได้รับการฉีดวัคซีนตัวเดียวกับที่ใช้ฉีดผู้ใหญ่มีการกระตุ้นภูมิที่ดีกว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ ปัจจุบันรอเพียงดูผลการศึกษาทางคลินิกจากการทดสอบฉีดวัคซีนในเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีว่าได้ผลดีหรือไม่ จึงจะสามารถนำมาใช้เพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันที่ครอบคลุมในทุกช่วงวัยได้ต่อไป
"การเข้าถึงวัคซีน" ขึ้นอยู่กับ "ปริมาณวัคซีน" เนื่อง จากสามารถใช้วัคซีนชนิดเดียวกันได้ ในอนาคตจึงควรมีการวางแผนบริหารจัดการเพื่อให้สามารถจัดหาวัคซีนที่มีปริมาณเพียงพอต่อประชากรในทุกกลุ่มต่อไป และเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แทนที่จะตั้งเป้ากำจัด COVID-19 ต่อจากนี้ควรหันมาเปลี่ยนมุมมองกันเสียใหม่ว่า จะอยู่กับ COVID-19 อย่างไรได้อย่างปกติ และปลอดภัย" ศาสตราจารย์ นายแพทย์มานพ พิทักษ์ภากร กล่าวทิ้งท้าย