คุณเกียรติยา ธรรมวิภัชน์ ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวไทย อสมท สวยสะกด สะดุดทุกสายตา ผ้าไหมลายสร้อยดอกหมาก เป็นผลิตผลผ้าทอที่เกิดจากการพัฒนาภูมิปัญญาดั้งเดิมด้านการทอผ้าของท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในแถบจังหวัดมหาสารคาม เป็นกระบวนการทอผ้าไหมให้เกิดเป็นผืนผ้าที่มีลวดลายและสีสันที่สวยงาม ประณีต ผ้าไหมลายสร้อยดอกหมาก เป็นการสร้างสรรค์ลายผ้าโดยนำลวดลายพื้นฐานที่มีมาแต่โบราณคือลายโคม เช่น โคมห้า โคมเจ็ด โคมเก้า มาพัฒนาให้เป็นลายที่มีความละเอียดและเพิ่มสีสันให้สวยงามขึ้นเรียกชื่อว่า "ลายสร้อยดอกหมาก”
โดยนำโครงสร้างของลายโคมห้ามามัดย้อมซ้อนกับลายโคมเก้าแล้วโอบหมี่แลเงา ให้มีลายแน่นขึ้น มีความละเอียดมากขึ้น และเพิ่มเติมสีสันให้สวยงาม หลากหลาย ทำให้ได้ลายผ้าขนาดเล็กและประณีต
กระบวนการสำคัญในการทอผ้าไหมสร้อยดอกหมาก เริ่มจากการสาวไหม โดยเลือกไหมที่เส้นเล็กสม่ำเสมอ นำเส้นไหมไปฟอกและย้อมสี การเข็นเส้นไหม การค้นเครือหูก การสืบหูก การมัดหมี่ และการย้อมหมี่ การมัดหมี่ซึ่งต้องกำหนดรูปแบบลายให้สม่ำเสมอ ลักษณะการมัดส่วนของวงโคมเก้าต้องมัดไม่ให้เป็นเหลี่ยม วงดอกทั้งปอยหมี่ไม่ต่ำกว่า 49 ดอก คือ 73 ลำ เพื่อให้ได้ลายที่แน่น ละเอียด และสวยงาม โดยมีขั้นตอนของการมัดหมี่ คือ มัดหมี่ตั้งโครงร่างของลาย นำไปย้อมสี แล้วโอบแลเงานำไปกัดสีออกให้ไหมขาว แล้วมัดขวางตรงเชิงของลาย นำหมี่ไปย้อมสีแล้วโอบสี นำหมี่ที่โอบแล้วไปย้อมสีพื้น ซึ่งการเลือกสีที่จะย้อมและสีพื้นนั้นขึ้นกับความต้องการของช่างทอแต่ละคน
📌เอกลักษณ์ผ้าไหมลายสร้อยดอกหมาก คือ ลายดอกเล็กละเอียด ลวดลายสวยงามสม่ำเสมอตลอดทั้งผืน สีของผ้าสวยงาม และสม่ำเสมอไม่มีรอยด่าง เส้นไหมเป็นเส้นเล็กเรียบเสมอทั้งผืนด้วยด้ายพุ่งและด้ายยืน พื้นผ้ามีความละเอียดเนื้อแน่น สม่ำเสมอไม่มีรอยโปร่ง ผ้าไหมลายสร้อยดอกหมาก เป็นผ้าไหมประจำจังหวัดมหาสารคามเอกลักษณ์ของผ้าไหมสร้อยดอกหมาก เอกลักษณ์ด้านลวดลาย รูปทรงของลายเป็นรูปดอกหมากขนาดเล็ก ลายดอกประกอบด้วยส่วนสำคัญคือ ช่อดอกโบราณนิยมย้อมสีเขียว กลีบดอกโบราณนิยมย้อมสีแดง และเกสรดอกโบราณนิยมย้อมสีเหลือง
ส่วนพื้นนิยมย้อมเป็นสีเม็ดมะขาม เมื่อผ้าลายสร้อยดอกหมากทอสำเร็จเป็นผืนผ้าออกมาแล้วจะเห็นลายดอกที่มีสีสันทั้งสีเขียว สีแดง สีเหลือง ตัดกับสีพื้นทำให้ลายปรากฏอย่างโดดเด่น ด้วยส่วนประกอบของลายดอกและสีที่ใช้จึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผ้าไหมสร้อยดอกหมากที่ไม่ปรากฏในผ้าไหมลายอื่นๆ นอกจากนี้ปัจจุบันยังได้มีการคิดค้นสีที่นำมาย้อมส่วนต่างๆ ของลายดอกและสีพื้นที่หลากหลาย เอกลักษณ์ด้านเทคนิคภูมิปัญญา ผ้าไหมลายสร้อยดอกหมากใช้เทคนิคการมัดลายซ้อนกัน คือการมัดลายโคมห้า มัดซ้อนกับลายโคมเก้าซึ่งเป็นลายที่มีมาแต่โบราณ จากนั้นจึงทำการโอบหมี่แลเงาเพื่อให้ลายมีความแน่น และส่วนประกอบของลายดอกมีความละเอียด
ทำให้มีคุณสมบัติพิเศษเป็นจุดเด่นคือเกิดเป็นลายดอกขนาดเล็กที่มีความละเอียดอย่างยิ่ง เมื่อนำมาย้อมสีลงไปในการย้อมแต่ละครั้งทำให้ได้สีที่สวยงาม เมื่อทอออกมาเป็น ผืนผ้าแล้วจะทำให้เห็นลายดอกหมากที่มีรูปทรงเป็นช่อชั้นและมีสีสันที่สวยงามจับตา เรียงร้อยเป็นเส้นสายบน ผืนผ้าไหมตลอดทั้งผืน ด้วยการใช้เส้นไหมแท้ที่เป็นเส้นเล็กเรียบทั้งด้ายพุ่งและด้ายยืน ทำให้ได้ผืนผ้าไหมมีความละเอียดเนื้อแน่น สม่ำเสมอไม่มีรอยโปร่ง และเมื่อถูกแสงแดดก็จะเกิดความแวววาวสวยงาม
กระบวนการผลิต การสาวไหม ทำได้โดยการต้มตัวไหม โดยใช้หม้อที่มีความกว้างของปากวัดโดยรอบประมาณ 25 นิ้ว โดยทั่วไปใช้หม้อนึ่งข้าว ปากหม้อนั้นครอบด้วยไม้โค้งคล้ายห่วงของถังไม้และใช้ไม้ลักษณะแบนเจาะรูตรงกลางพาดระหว่างห่วงทั้งสองข้าง และเหนือไม้แบนๆ นี้ มีไม้รอกซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลม จากนั้นเอาฝักไหมที่จะสาวใส่ลงไปในหม้อ ต้มประมาณ 30 – 50 นาที ระหว่างที่รอ ให้คนรังไหมในหม้อประมาณ 2 – 3 ครั้ง ให้รังไหมสุกทั่วกัน แล้วเอาแปรงชะรังไหมเบาๆ เส้นไหมก็จะติดแปรงขึ้นมา จึงนำมาสอดที่รูตรงกลางของไม้ระหว่างห่วง ทั้งสองข้าง และสาวให้พ้นรอก 1 รอบ จากนั้นเวลาสาวไหม จะใช้มือทั้งสองข้าง
โดยมือหนึ่งสาวไหมจากรอก ลงภาชนะที่รองรับเส้นไหม ส่วนอีกมือหนึ่งถือไม้อันหนึ่งเรียกว่า "ไม้ขืน" ซึ่งมีลักษณะเป็นง่ามยาวประมาณ 1 ศอกเพื่อใช้ในการกดและเขย่ารังไหมที่อยู่ในหม้อเพราะรังไหมที่อยู่ในหม้อนั้นจะลอยขึ้นมาถ้าไม่กด และเขย่ารังไหมจะเกาะกันแน่นสาวไม่ออก หรือออกมาในลักษณะที่เส้นไหมมีขนาดไม่สม่ำเสมอกัน เครื่องสาวไหมทั้งหมดเรียกว่า "เครื่องพวงสาว" การสาวไหมนี้ต้องหมั่นเติมน้ำเย็นลงไปเป็นระยะระวังอย่าให้น้ำถึงกับร้อนและเดือด
การย้อมสีไหม สีไหมที่นิยมใช้ย้อมมี 2 ชนิด คือ
สีย้อมที่ได้จากธรรมชาติ ได้จากต้นไม้ ใช้ได้ทั้งใบ เปลือก ราก แก่นและผล ชาวอีสานรู้จัก
การย้อมสีไหมให้ได้สีตามต้องการ จากสีธรรมชาติมานานแล้ว มีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควรเริ่มจากไปหาไม้ที่จะให้สีที่ต้องการ ซึ่งจะอยู่ในป่าเป็นส่วนใหญ่ บางสีต้องการใช้ต้นไม้หลายชนิด ทำให้ยุ่งยาก เมื่อได้มาแล้วต้องนำมาสับมาซอย หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำไปต้มกรองเอาน้ำให้ได้มากตามต้องการ แล้วจึงนำไปย้อมแต่ละครั้งสีจะแตกต่างกันออกไป ไม่เหมือนเดิมทีเดียว ทำให้เกิดรอยด่างบนผืนผ้าได้ ปัจจุบันจึงนิยมใช้สีเคมีเป็นส่วนมากหรือเกือบทั้งหมด เพราะย้อมง่าย ขั้นตอนที่ทำไม่ยุ่งยากซับซ้อนสีที่ได้สม่ำเสมอ จะย้อมกี่ครั้งๆ ก็ได้สีเหมือนเดิมและสีติดทนนานมากกว่าสีจากธรรมชาติ ต้นไม้ที่นำย้อมแบบพื้นบ้าน สีที่ย้อมจากธรรมชาติ มีดังนี้
1. สีแดง ได้จาก ครั่ง รากยอ
2. สีน้ำเงิน ได้จาก ต้นคราม
3. สีเหลือง ได้จาก แก่นขนุน ขมิ้นชัน แก่นเข
4. สีเขียว ได้จาก เปลือกสมอและใบหูกวาง ใบเตย
5. สีม่วงอ่อน ได้จาก ลูกหว้า
6. สีชมพู ได้จาก ต้นฝาง ต้นมหากาฬ
7. สีดำ ได้จาก เปลือกสมอ และลูกมะเกลือ ลูกระจาย
8. สีส้ม ได้จากลูกสะตี (หมากชาตี)
9. สีน้ำตาลแก่ ได้จาก จานแก่นอะลาง
10. สีกากีแกมเขียว ได้จาก เปลือกเพกากับแก่นขนุน
11. สีกากีแกมเหลือง ได้จาก หมากสงกับแก่นแกแล
สีย้อมวิทยาศาสตร์ หรือสีสังเคราะห์ มีส่วนผสมทางเคมีวิธีย้อมแต่ละครั้ง จะใช้สัดส่วนของสี และสารเคมีที่แน่นอน สีที่ได้จากการย้อมแต่ละครั้งจะเหมือนกัน แหล่งทอผ้าในปัจจุบันนิยมใช้สีย้อมวิทยาศาสตร์
ลายสร้อยดอกหมากก็เป็นลายผ้าโบราณลายหนึ่งที่เกือบจะสูญหายไปจากท้องถิ่น ด้วยความที่ลายผ้ามีความละเอียดมาก ผู้ทอต้องมีความรู้ในเรื่องของลาย และมีฝีมือทั้งในการมัดและการทอ ถ้าไม่มีความชำนาญ การย้อมสีอาจไม่สม่ำเสมอทำให้ลายผ้าผิดเพี้ยนไป นอกจากนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการทอมาก จึงเป็นสาเหตุให้ชาวบ้านไม่นิยมทอผ้าลาย "สร้อยดอกหมาก” จนกระทั่งทางจังหวัดมหาสารคาม ได้จัดให้มีการประกวดผ้าไหมประจำจังหวัดขึ้น ปรากฏว่าผ้าไหมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศนั้น คือ ผ้าไหมลายสร้อยดอกหมาก เพราะมีความสวยงามและวิจิตรบรรจงมาก จึงได้เลือกผ้าไหมลายสร้อยดอกหมากเป็นผ้าไหมประจำจังหวัด พร้อมกับสนับสนุนให้ชาวบ้าน ทอผ้าลายนี้ให้มากขึ้นทำให้ขณะนี้กลุ่มทอผ้าไหมทุกอำเภอของจังหวัดมหาสารคาม ต่างก็หันมาผลิตผ้าไหมลายสร้อยดอกหมากกันมากขึ้น
"ลายสร้อยดอกหมาก” เป็นชื่อลายตามคำเรียกของคนโบราณ ปัจจุบันชาวบ้านอาจเรียกต่างกันไป ในแต่ละท้องถิ่น เช่น ลายเกล็ดปลา หรือลายโคมเก้า เกิดจากการนำเอาลายโคมห้ามามัดซ้อนกับลายโคมเก้าและทำการโอบหมี่แลเงาเพื่อให้ลายแน่นขึ้นละเอียดขึ้น ทำให้มีคุณสมบัติพิเศษเป็นจุดเด่นคือเป็นลายเล็กที่มีความละเอียดอย่างยิ่ง เมื่อนำมาประยุกต์สีสันต์ลงไปในการมัดย้อมแต่ละครั้งเกิดเป็นช่อชั้นทำให้มองดูสวยงามจับตามีคุณค่ามากขึ้น
การทอผ้าไหมลายสร้อยดอกหมาก เส้นไหมที่ใช้จะต้องเส้นเล็กมีความสม่ำเสมอ การทอผ้าไหม ลายสร้อยดอกหมากใช้เวลาในการทอมากและขึ้นอยู่กับความละเอียดของลาย เฉพาะการมัดหมี่ใช้ระยะเวลานาน 4– 5 วัน ยิ่งลายละเอียดก็ต้องขยายลำหมี่ให้มากขึ้นเป็น 49 ลำ หรือเป็น 73 ลำ ดอกจะมีขนาดเล็กลงไป ส่วนขั้นตอนการทอใช้เวลาประมาณ 15 วันต่อหนึ่งผืน