16 ส.ค.66 - หลากความเห็น “ครูกายแก้ว” ความเชื่อ ความศรัทธา หรือ ความงมงาย
โด่งดัง และรู้จักกันช่วงข้ามคืน สำหรับ “ครูกายแก้ว” รูปปั้นรูปลักษณ์แปลกไม่คุ้นตา ที่ติดอยู่บนถนนรัชดาฯ ก่อนจะเคลื่อนมาตั้งไว้ ณ โรงแรมแห่งหนึ่งบนถนนรัชดาฯ นั่นเอง จนเหล่าสายมูฯ ออกมาเฉลยว่ารูปปั้นนี้คือ “ครูกายแก้ว” บรมครูผู้เรืองเวทย์ ที่เชื่อกันว่าสามารถประทานพรให้สมใจปรารถนา ทั้งการงาน โชคลาภ จนได้รับสมญานามจากผู้ศรัทธาว่า “เทพเจ้าแห่งโชคลาภ”
•
โดยส่วนหนึ่งของรายการโหนกระแส ที่ออกอากาศวันที่ 10 ส.ค. 66 ได้เชิญสัมภาษณ์ อ.ต้น ผู้ที่ทำรูปปั้นครูกายแก้ว, คุณบอย ลูกศิษย์อ.สุชาติ ต้นตำรับครูกายแก้ว , โทน บางแค เซียนพระชื่อดัง และ อ้วน พระราม 5 มาร่วมไขความกระจ่างของ “ครูกายแก้ว” ด้วยโดยสรุปที่มาของความเชื่อ “ครูกายแก้ว” ว่า ตามประวัติที่ทราบกันมานั่น “ครูกายแก้ว” เป็นบรมครูผู้เรืองเวทย์ ที่เชื่อกันว่าสามารถประทานพรให้สมใจปรารถนาได้ ทั้งเรื่องงาน โชคลาภ ค้าขาย
•
โดยเล่ากันว่ามีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินทางไปทำสมาธิที่ปราสาทนครวัด นครธม ประเทศกัมพูชา ระหว่างที่เดินทางกลับผ่าน จ.ลำปาง ได้พบกับ “อาจารย์ถวิล มิลินทจินดา” นักร้องนักดนตรีเพลงไทยเดิมของกองดุริยางค์ทหาร จึงมอบ“องค์ครูกายแก้ว” ขนาดประมาณ 2 นิ้วไว้ให้ อาจารย์ถวิล จึงได้นำองค์ครูกายแก้วมาบูชา ต่อมาจึงได้มอบองค์ครูกายแก้ว ให้กับ “อาจารย์สุชาติ รัตนสุข” จนมีครั้งหนึ่ง อาจารย์ สุชาติ ฝันเห็นร่างหนึ่งเดินออกมาจากประตู บอกว่าเป็นครูกายแก้ว จึงเอาภาพที่เห็นนั้นมาให้ช่างมาวาดแล้วจึงหล่อขึ้นรูปองค์ใหญ่ เพื่อบูชาครูเป็นองค์กายแก้วที่รู้จักกันดังที่เห็นนี้
•
สำหรับรูปลักษณ์ “ครูกายแก้ว” คล้ายกับผู้บำเพ็ญตนนั่งขัดสมาธิ หน้าตาน่าเกรงขาม ด้านหลังมีปีก ตามีสีแดง เล็บยาวงุ้ม ส่วนบริเวณใบหน้ามีเขี้ยวคล้ายนกการเวก จึงเชื่อกันว่าครูกายแก้วเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งนก ซึ่ง “โทนบางแค” เซียนพระเครื่องชื่อดัง ได้นิยามไว้ในรายการโหนกระแสว่า ครูกายแก้ว ไม่ใช่เทวดา เทพ ต้องแยกไป เราจะไม่รวมในหิ้งพระ ไม่รวมในหมวดเทวดา เราเรียกว่า “อสูรเทพ”
•
เทพเทวดารูปกายสวยงาม ทำบุญด้วยจิตที่เป็นบุญ แต่อสูรเทพทำบุญด้วยโมหะ เช่นเดียวกับท้าวเวสสุวรรณ ก็จัดอยู่ในอสูรเทพ ที่ทำบุญด้วยโมหะ เป็นเทพเหมือนกันแต่เป็นเทพที่หน้าเป็นอสูร เป็นอสูรเทพ
•
จริงๆ ไม่ใช่ศาสตร์ใหม่ เป็นศาสตร์เก่าโบราณ ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเผยแพร่ เหมือนพระพิฆเนศนี่แหละแต่ไม่มีใครหยิบขึ้นมา เทพในความเชื่อของทุกศาสนามีอีกเยอะเลย ถ้าไปทางพราหมณ์ อย่างพระอินทร์ เป็นเทพที่ศาสนาพุทธยกย่องท่าน ก็ไม่มีใครยกขึ้นมา มีไม่กี่คน เทพที่คนรู้จัก ก็ต้องมีประสบการณ์ ต้องมีเรื่องราว วันนี้เกิดเรื่องราวแล้วเลยถูกยกขึ้นมา
•
ส่วนหากเชื่อแล้ว จะบูชาอย่างไร “ครูกายแก้ว”
👉 ใช้วิธีขอพร ขอให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวัง โดยไม่ใช่การบนบาน
👉 ห้ามบูชาด้วยของคาว ไม่มีการถวายพวกเนื้อสัตว์
👉 นิยมถวายขนมกุ้ยช่าย น้ำผึ้ง ผลไม้เป็นพวง เช่น องุ่นดำ
👉ดอกไม้บูชาด้วยกุหลาบแดง
ด้าน “หมอบีทูตสื่อวิญญาณ” ได้แสดงความคิดเห็นขณะไลฟ์สดในเพจเฟซบุ๊ก “งมงาย สไตล์หมอบี” วันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ใครจะเชื่อแล้วแต่ไม่ขัดความเชื่อใคร แต่อยากให้ศึกษาให้ถ่องแท้ดี ๆ การที่จะไหว้ใครสักคนเหมือนเป็นการน้อมตัวลงไป เพื่อบอกว่าสิ่งเหล่านี้อยู่สูงกว่าเรา และต้องรู้สึกไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะไหว้
•
สำหรับคนที่บอกว่าครูกายแก้ว เป็นอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 “ไม่ใช่ ไม่มี” ไปเอามาจากไหน หากคนเถียงว่ามีให้เอาหลักฐานมา ถ้าบอกว่าตนด้อยข้อมูลก็แล้วแต่ แต่มันไม่ใช่ ลองไปสืบค้นว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถืออะไรก่อนหรือย้อนกลับไปที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 สมัยนั้น ยังเป็นการนับถือพระพุทธศาสนาอยู่เลย
ซึ่งหลักฐานที่ยังคงอยู่คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถือ 2 เรื่อง คือ ปรัชญาปารมิตา เป็นสูตรมหายาน และสองคือ พระไภษัชยคุรุ เป็นพระพุทธเจ้าที่ท่านนับถือมาก ๆ แล้วในสมัยนั้นก็สืบพบว่า มีครูบาอาจารย์ที่มีหลักฐานจริงๆ ว่ามีคนนับถือมาก เป็นนักปราชญ์ชาวพุทธอินเดีย ที่มีอิทธิพลตั้งแต่สมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 5-7 ซึ่งก็เป็นพุทธมหายานทั้งหมด “แต่ไม่มีเรื่องของครูกายแก้ว”
•
หากจะค้นคว้าข้อมูลให้ไปถามอาจารย์แถวศิลปากร นักโบราณคดีและประวัติศาสต์จริงๆ ซึ่งตนไม่ได้ลบหลู่ ใครจะนับถือบูชาก็แล้วแต่ แต่อยากให้ลองคิดว่าเราเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หากอยากให้ชีวิตมันจะดีขึ้นจริง ๆ ก็ควรคิดว่าจะไหว้อะไร ไปไหว้พ่อแม่หรือผู้มีพระคุณดีกว่าไหม หรือไหว้ใครสักคนที่ทำคุณงามความดี ไม่ใช่คนมีฤทธิ์เสกอะไรบางอย่างได้ ให้เอาคุณงามความดีไปพัฒนาฝึกฝน ให้ตนเองเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ หรือการศึกษาอะไรให้ถูกก่อน เพราะการศึกษาหรือไหว้อะไรควรเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมันเจริญ
ขณะที่ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว โดยระบุข้อความว่า “ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ปรากฏข่าวเรื่อง “ครูกายแก้ว” ว่าเป็นรูปเคารพที่ได้รับความนับถือในหมู่คนจำนวนหนึ่ง นัยว่าครูกายแก้วนี้เป็นครูบาอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ผมยังไม่เคยเห็นหลักฐานยืนยันได้แน่นอนว่าเล่าลือกันมาจากที่ไหน
ความเลื่อมใสในเรื่องอย่างนี้แม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่สามารถบ่งบอกถึงความไม่มั่นคงทางจิตใจของสมาชิกในสังคมได้ในระดับหนึ่ง และถ้าไม่เกรงใจกันแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นระดับที่สูงมากเสียด้วย รูปอะไรก็ไม่รู้ที่กราบไหว้กันอยู่นี้ มองในทางศิลปะก็สอบไม่ผ่านแน่ จะว่าเป็นมนุษย์ก็เห็นจะไม่ใช่ จะเป็นสัตว์ก็ไม่เชิง ผมยังนึกไม่ออกว่าการไปบูชารูปปั้นอย่างนี้จะเป็นสวัสดิมงคลได้อย่างไร แถมเกรงว่าจะเกิดผลตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ”
พระพยอม เจ้าอาวาสวัสสวนแก้ว กล่าวว่า ยอมรับว่าประเทศไทยความมั่นคง ความแน่วแน่ในพระรัตนตรัยเริ่มแกว่งเห็นอะไรก็จะกราบไหว้ ตั้งแต่ “จตุคามรามเทพ ไอ้ไข่ ส้มฉุน” ฯลฯ มีการปั้นอวัยวะเพศตายาย ยังมากราบไหว้
•
อยากฝากให้คนไทยมาดูที่วัดสวนแก้ว สมัยพระพุทธเจ้าดับขันธ์ใหม่ ๆ ยังไม่ได้ทำรูปปั้น พระพุทธเจ้าเรียนจนตรัสรู้เรียน 18 ศาสตร์ เรียนในป่าอีก 6 ปี เขาเลยทำรูปเสมาเพื่อกราบไหว้ กระทรวงศึกษาธิการจึงนำรูปเสมามาเป็นโลโก้เพื่อให้กราบไหว้ความใฝ่รู้ ไม่ใช่กราบรูปผี รูปคน รูปยักษ์ รูปมาร ทำรูปปั้นตรีรัตนเพื่อให้รู้ว่าคำสอนของพระองค์เหมือนศาสตรา 3 อัน ไว้ฟาดฟันกับโจรฉกรรจ์ 3 ก๊ก (โลภ โกรธ หลง)
•
ต่อมาทำรูปธรรมจักร เพื่อบทขยี้ทุกข์ให้เหล่ามนุษย์ สุดท้ายกราบไหว้พระพุทธองค์ในฐานะที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้เป็นลูกกษัตริย์ ส่วนรูปที่เขาปั้นความหมายลึกซึ้ง สวยงาม ดูแล้วสบายตาสบายใจ ยุคสมัยนี้คนไทยเป็นแบบนี้อยากให้อาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ และหนักแน่นในพุทธศาสตร์ ช่วยมาให้สติคนไทย
•
อีกไม่นานจะได้เงินเป็นพันล้าน หมื่นล้านจากครูกายแก้ว เห็นมีการถ่ายทำรูปภาพครูกายแก้วเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ เตรียมจำหน่ายกันแล้ว ใครไม่อยากเป็นเหยื่อ “ความเชื่อนี้ไม่เกิน 6 เดือน ถึง 1 ปี” เดี๋ยวก็จะหายไปเหมือนจตุคามรามเทพไอ้ไข่ ส้มฉุน ฯ
ทั้งนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ ตนไม่อยากไปทะเลาะกับคนที่มีความเชื่อ อยากให้ศึกษากันไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แต่ถึงเชื่อก็ต้องเรียนรู้ให้ชัดเจนว่าจะเชื่อผิดหรือถูก ได้ผลหรือไม่มีผลตอบแทน เชื่อแล้วทุกข์ไม่เกิด อย่าไปหลงคำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เชื่อแล้วต้องมีเหตุผล ศึกษาข้อมูล นิสัยคนไทยเห็นอะไรก็ตีเป็นเลขเป็นหวย ขอฝากสั้น ๆ ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ตามอย่าเชื่อแบบหัวปักหัวปำ เชื่อไปศึกษาไป จนเกิดสติปัญญา