26 มี.ค.67 - ครบรอบ 127 ปี สถาปนา “การรถไฟแห่งประเทศไทย” สถานีกรุงเทพ – สถานีกรุงเก่า จุดเริ่มต้น รถไฟไทยที่ไม่เหมือนเดิม
เมื่อ 127 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟหลวงสายแรกในพระราชอาณาจักรคือสายนครราชสีมา ซึ่งขณะนั้นสร้างเสร็จตอนหนึ่งระหว่างสถานีกรุงเทพ ถึงอยุธยา ได้ทรงตรึงหมุดที่รางทองรางเงินกับไม้หมอนมะริดคาดเงิน อันเป็นนาทีปฐมฤกษ์การมีรถไฟหลวงแห่งแรกในสยาม ถือได้ว่ากิจการรถไฟหลวงของไทยได้ถือกำเนิดตั้งแต่บัดนั้น และการรถไฟฯ ได้ถือเอาวันที่ 26 มีนาคมเป็น วันสถาปนากิจการรถไฟของไทย
🔻หลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดใช้บริการอย่างเป็นทางการโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ ทรงกระทำพิธีกดปุ่มสัญญญาณไฟฟ้าให้รถไฟขบวนแรกเดินเข้าสู่สถานีกรุงเทพ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2459
🔻หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกิจการรถไฟทั้งสองกรม คือ “กรมรถไฟสายเหนือ” และ “กรมรถไฟสายใต้” เข้าเป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า “กรมรถไฟหลวง”
🔻เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน มาเป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงพระองค์แรก ในระหว่างที่ทรงบังคับบัญชากิจการรถไฟนั้น พระองค์ได้บริหารงานด้วยพระปรีชาสามารถทรงนำวิชาการสมัยใหม่เข้ามาใช้ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่กิจการรถไฟอย่างมาก จนได้รับการขนานพระนามว่า “พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่”
ทั้งนี้ในปัจจุบัน “ระบบราง” ถือเป็นระบบการขนส่งที่สำคัญของไทย ทั้งในภาคการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้า สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ที่ได้ผลักดันให้การขนส่งทางรางให้เป็นการขนส่งหลักของประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ซึ่งนับเป็นกระดูกสันหลังใหญ่ของภาคเศรษฐกิจที่มีทิศทางการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค อีกทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
•
“การรถไฟแห่งประเทศไทย” (รฟท.) ก็นับเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่สำคัญของไทย เป็นฟันเฟืองและหน่วยงานหลักในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของไทย เห็นได้จาก “พันธกิจ” ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเป็นองค์กรที่สร้างรายได้และการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่งของประเทศ
ทั้งนี้ภายใต้การบริหารงานของ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา การรถไฟฯ ได้ดำเนินโครงการที่สำคัญมากมาย ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเดินทาง และการขนส่งสินค้า ตลอดจนกิจกรรมเพื่อสังคม ล้วนสร้างประโยชน์อย่างมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีแผนในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย
เริ่มต้นด้วยการเปิดให้บริการ "สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์" ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และการขนส่งทางรางของประเทศ และเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมถึงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมแห่งใหม่เทียบเท่าสถานีรถไฟชั้นนำของโลกอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา พร้อมกับมีการปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง ปลายทาง ของขบวนรถไฟทางไกล สายเหนือ ใต้ อีสาน ทั้งขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว จำนวน 52 ขบวน มาที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แต่ขณะเดียวกันยังคงอนุรักษ์สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) และเปิดให้บริการควบคู่กันตามปกติ สำหรับให้บริการขบวนรถท้องถิ่น ขบวนรถชานเมือง ขบวนรถท่องเที่ยว
ต่อด้วยการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการรถไฟทางคู่และรถไฟสายใหม่ ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมให้สำเร็จตามแผน ในส่วนเส้นทางรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 ขณะนี้สามารถเปิดใช้งานทางคู่
ในช่วงแรกได้แล้วหลายเส้นทาง ได้แก่ โครงการช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย โครงการช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ขณะที่เส้นทางรถไฟทางคู่สายใต้ ก็สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้เปิดให้บริการระหว่างสถานีบ้านคูบัว จ.ราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จ.ชุมพร รวมระยะทาง 348 กิโลเมตร ส่วนช่วงที่ 2 ของสายใต้ระหว่างสถานีสะพลี-ด้านเหนือสถานีชุมพร ตามแผนการจะเปิดใช้ทางคู่ประมาณช่วงเดือนเมษายน 2567 จากนั้นจะทยอยเปิดใช้งานช่วงนครปฐม-บ้านคูบัว ประมาณเดือนมิถุนายน 2567 นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2567 จะเปิดให้บริการรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ช่วงบันไดม้า-คลองขนานจิตร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ระยะทาง 29.70 กิโลเมตร ที่การก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ
ขณะเดียวกัน การรถไฟฯ ยังเดินหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทาง ได้แก่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งปัจจุบัน ภาพรวมความก้าวหน้า ร้อยละ 6.695 และการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม สัญญา 1 บ้านไผ่ - หนองพอก ความก้าวหน้าโครงการ ร้อยละ 5.065 สัญญา 2 หนองพอก - สะพานมิตรภาพ 3 ความก้าวหน้าโครงการ ร้อยละ 7.897 ไม่เพียงเท่านี้ การรถไฟฯ ยังเดินหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เพิ่มเติมอีก 7 สายทาง ได้แก่ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย, ช่วงขอนแก่น-หนองคาย, ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี, ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี, ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา และช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ที่คณะกรรมการรถไฟฯ ได้อนุมัติและส่งเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคมเพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีต่อไป ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล เพื่อเสนอขออนุมัติโครงการฯ
ส่วนการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ถึงสถานีปลายทางนครราชสีมา ระยะทางรวม 250.77 กิโลเมตร มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง มีผลงานรวมอยู่ที่ ร้อยละ 32 ในส่วนของการก่อสร้างงานโยธา มี 14 สัญญา ได้ก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว 2 สัญญาอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 10 สัญญา และยังไม่ลงนาม 2 สัญญา นอกจากนี้ยังมีสัญญางานระบบฯ 1 สัญญา อยู่ระหว่างการออกแบบและจัดหาวัสดุอุปกรณ์ตามสัญญา คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ ภายในปี 2571
รวมถึง การเสริมทัพของหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า 50 คัน (Diesel Electric Locomotive) มาใช้งาน โดยถือเป็นรถจักรดีเซลไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งนำมาใช้ทดแทนหัวรถจักรเดิมที่มีอายุการใช้งานมานาน สามารถรองรับปริมาณผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าทั่วประเทศ ปัจจุบันได้เปิดให้บริการเดินขบวนรถทางไกลในเส้นทางต่างๆ ทั่วประเทศ ช่วยให้การรถไฟฯ มีรถจักรเพียงพอต่อการให้บริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าได้มากขึ้นสามารถเดินขบวนรถได้ตรงตามกำหนดเวลา รองรับโครงการรถไฟทางคู่ที่ทยอยเปิดใช้งาน
ริเริ่มพัฒนารถไฟระบบ EV on Train จนสามารถดำเนินการเริ่มทดสอบรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เป็นรถต้นแบบคันแรก เพื่อใช้ในระบบสับเปลี่ยนขบวน (Shunting) เป็นไปตามนโยบายขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะด้วยการนำเทคโนโลยียานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) แทนที่ยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของกระทรวงคมนาคม เพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาด ลดมลพิษในด้านต่าง ๆ
นอกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางแล้ว การรถไฟฯ ยังได้เดินหน้าดำเนินการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในด้านต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางสูงสุดแก่พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม Quick Win “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ของนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม โดยการขับเคลื่อนภารกิจให้ขบวนรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน ปรับลดค่าโดยสารรถไฟชานเมืองสายสีแดงสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือ 20 บาทตลอดสาย และปรับลดค่าบริการจอดรถชั้นใต้ดินสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อลดรายจ่ายและค่าครองชีพให้แก่ประชาชน รวมถึงกระตุ้นให้มีผู้โดยสารหันมาใช้บริการมากขึ้น
•
ไม่หยุดเพียงเท่านี้ การรถไฟฯ ได้ขยายเวลาเปิดให้บริการจองตั๋วโดยสารล่วงหน้าสูงสุด 90 วัน ในขบวนรถด่วนพิเศษและขบวนรถด่วน จำนวน 32 ขบวน ให้ผู้โดยสารสามารถวางแผนการเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น สามารถจองและซื้อตั๋วโดยสาร ได้จาก 3 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ D-Ticket : https://www.dticket.railway.co.th ช่องทางจำหน่ายตั๋วผ่านสถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ และช่องทาง Call Center การรถไฟแห่งประเทศไทย 1690
•
ยังมีระบบ TTS (Train Tracking System) : https://ttsview.railway.co.th
ที่สามารถตรวจสอบเวลา และตำแหน่ง ขบวนรถทุกขบวน โดยระบบจะแสดงสถานะการเดินรถให้ทราบทันที ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสาร และผู้ที่มารอรับที่ปลายทาง สามารถวางแผนการเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานด้านความสะดวกและความปลอดภัย ช่วยสร้างความมั่นใจในการเดินทางแก่ผู้โดยสารตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
•
การรถไฟฯ มุ่งมั่นในการยกระดับพัฒนาการทำงาน และการให้บริการ ให้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงของบริบทแวดล้อมภายนอก ตลอดจนเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้เกี่ยวข้อง หรือ Stakeholders ทั้งหมด ตามวิสัยทัศน์ขององค์กร กล่าวโดยสรุป ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ภารกิจของการรถไฟฯ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามแผนงานที่กำหนดไว้หลายด้าน จนทำให้องค์กรมีการพัฒนา ก้าวหน้าแบบต่อเนื่องอย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม
•
การส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยผลักดันให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างการรถไฟฯ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ในการเปิดมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวทางรถไฟ โดยใช้รถ KIHA 183 มาให้บริการท่องเที่ยวแบบครบวงจร ขณะที่การก้าวสู่ความทันสมัยก็เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยมุ่งมั่นในการยกระดับพัฒนาการทำงาน และการให้บริการ ให้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงของบริบทแวดล้อมภายนอกอย่างต่อเนื่อง