X
“ด้านมืด” ฟุตบอลโลก 1978 สู่เส้นทางคว้าแชมป์ของทัพฟ้าขาว “อาร์เจนตินา”

“ด้านมืด” ฟุตบอลโลก 1978 สู่เส้นทางคว้าแชมป์ของทัพฟ้าขาว “อาร์เจนตินา”

24 ส.ค. 2566
1110 views
ขนาดตัวอักษร

24 ..66 - ย้อนวันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก อาร์เจนตินา 1978 : เมื่อคลื่นใต้น้ำยกพลขึ้นสนามหญ้า สู่วันปรีดาทัพฟ้า-ขาว


หากจะกล่าวถึงทัวร์นาเมนต์การแข่งขันฟุตบอลที่มีความยิ่งใหญ่และมีผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดในระดับนานาชาติแล้ว ฟุตบอลโลกคือสิ่งนั้น มหกรรมกีฬาของทุกหมู่เหล่าที่มีผู้ชมถ่ายทอดสดนัดชิงชนะเลิศในครั้งล่าสุดกว่า 1.5 พันล้านคนทั่วโลก โดยประเทศที่ได้เป็นแชมป์โลกในทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมาได้แก่ ทีมชาติอาร์เจนตินา ที่คว้าถ้วยไปครองเป็นสมัยที่ 3 โดยการนำทัพของกัปตัน “ลีโอเนล เมสซี่” 

แต่ก่อนจะมาประกาศศักดาเหนือทีมชาติฝรั่งเศสในปี 2022 นี้นั้น พวกเขาเคยได้แชมป์ไปครองแล้ว 2 ครั้ง โดยในปี1986 นั้นพวกเขามี “ดิเอโก อามันร์โด มาราโดนา” พาเถลิงบัลลังก์อย่างสมเกียรติ แต่ในปี 1978 ที่นำทีมโดยยอดกองหน้าอย่าง “มาริโอ เคมเปส” และผู้นำทีมอย่าง “ดาเนียล ปาซซาเรลลา” นั้น พวกเขามีข้อครหาอยู่หนึ่งจุดใหญ่ ๆ ที่ทำให้แชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียวบนผืนแผ่นดินบ้านเกิดของตนเองนั้น เป็นที่ถกเถียงและไม่ยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน ในวันนี้เราจะไปเจาะลึกถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของทัพฟ้า-ขาวกัน

ฟุตบอลโลกปี 1978 จัดขึ้นที่ประเทศอาร์เจนตินา ในเวลานั้นกำลังอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารโดย นายพลฮอร์เก้ วิเดลา” ที่ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าหวาดกลัวที่สุดยุคหนึ่งของประเทศ โดยผู้ที่ต่อต้านการมีอยู่ของรัฐบาลชุดนี้ ว่ากันว่าจะถูกนำไปทรมาณและมีการลักพาตัว หรือที่ในหลายๆประเทศเรียกกันว่า “อุ้มหาย” เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศอาร์เจนตินาในสายตาประชาคมโลก  ขณะนั้น กำลังอยู่ภายใต้วิกฤตขั้นรุนแรง ทำให้ผู้นำทหารของประเทศหวังว่า ฟุตบอลโลกที่กำลังจะอุบัติขึ้นนี้ จะช่วยทำให้ผู้คนภายนอกมองพวกเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และหวังที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนในประเทศให้โฟกัสกับสิ่งอื่นมากกว่าการปกครองของพวกเขา และสิ่งที่จะทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดนั้นได้แก่ แชมป์โลกของทีมชาติ ในบ้านเกิดของตนเอง

ลา อัลบิเซเลสเต้” ( ฉายาของอาร์เจนตินา ) เริ่มต้นประเดิมสนามรอบแรกด้วยการเฉือนชนะฮังการีและฝรั่งเศสไปด้วยสกอร์เดียวกัน 2-1 แม้ปิดท้ายด้วยการพ่ายแพ้อิตาลี แต่ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเป็นแชมป์กลุ่มในรอบแรก ผ่านเข้าสู่รอบสองต่อไป โดยพวกเขาถูกจับมาอยู่ร่วมกลุ่มกับบราซิล โปแลนด์ และเปรู โดยผลการแข่งขันสองเกมแรก พวกเขาเอาชนะโปแลนด์และเสมอกับบราซิล ทำให้มีอยู่ 3 คะแนนเท่ากับทัพเซเลเซาก่อนเข้าสู่เกมสุดท้ายโดยทีมที่ได้อันดับ 1 ของกลุ่มจะเข้าไปเล่นในนัดชิงชนะเลิศ ส่วนอันดับ 2 จะได้เพียงลงเล่นในนัดชิงอันดับ 3 เท่านั้นบราซิลไม่พลาดทุบเอาชนะโปแลนด์ไป 3-1 ในแมทช์ที่ 3 นั่นทำให้อาร์เจนตินาต้องชนะเปรูด้วยผลต่างประตูได้เสียอย่างน้อย 4 ลูกขึ้นไป ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ยากพอสมควรเนื่องจากทีมชาติเปรู  เวลานั้นถือเป็นทีมที่มีเกมรับเหนียวแน่นและเสียประตูยาก นั่นทำให้หลายคนคิดว่านี่จะเป็นเกมที่ยากของเจ้าภาพแน่ เว้นแต่จะมีตัวช่วยที่มองไม่เห็น

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าอาร์เจนตินา  เวลานั้น มีรัฐบาลทหารปกครองอยู่ และจะด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตานำพาอย่างไรก็แล้วแต่ เปรูเองก็มีนายพลทหารคุมเข้มประเทศของพวกเขาอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งในหมู่การปกครองระบอบเผด็จการด้วยกันเองนั้น ย่อมมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น เนื่องจากพวกเขามักจะโดนสหประชาชาติคว่ำบาตรนั่นทำให้หลายคนมองว่าอาจมีดีลลับแฝงผลประโยชน์เกิดขึ้นในเกมนี้ แล้วก็เหมือนจะจริงซะด้วยเนื่องจากทัพฟ้าขาวปูพรมเอาชนะเปรูไปได้แบบขาดลอย 6-0 โดยนักเตะที่โดนเพ่งเล็งมากที่สุดได้แก่ “รามอน กิโลกา” ผู้รักษาประตูชาวเปรูที่เกิดในประเทศอาร์เจนตินา ไม่สามารถป้องกันประตูได้เลยทั้ง  ที่บางจังหวะตัวเขาควรจะทำได้ดีกว่านี้

หลังจบเกมมีสัญญาณบางอย่างที่อาจบ่งบอกว่าเกมนี้อาจมีการฮั้วกันของสองประเทศเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยตัวนักโทษคดีการเมืองชาวเปรูที่โดนคุมขังอยู่ในอาร์เจนตินาจำนวน 13 ราย รวมไปถึงการอนุมัติงบเงินสดกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับประเทศเพื่อนรัก และการขนส่งเมล็ดพืชและข้าวจากอาร์เจนตินาไปยังเปรูหลายคันรถ เป็นเหตุให้ผู้คนมั่นใจว่าเกมการแข่งขันนัดนี้ถูกล็อคผลไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสุดท้ายพยานปากสำคัญของเรื่องนี้ ได้แก่กองกลางกัปตันทีมชาติเปรูเองอย่าง “เฮกตอร์ ชุมปิตาซ ที่ได้ออกมาเผยในภายหลังว่า “ก่อนเกมแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นท่านนายพลวิเดลา ได้เข้ามาพบกับเหล่านักเตะทีมชาติเปรูด้วยตัวเอง พร้อมกับพูดคุยแบบกึ่งทางการกึ่งเป็นกันเองเพื่อขอให้อาร์เจนตินากรุยทางผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศให้ได้แลกกับผลประโยชน์ทางการเมืองมากมาย ซึ่งมีทั้งนักเตะที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้น

ในตอนจบของเรื่องนี้เป็นความสำเร็จของทีมชาติอาร์เจนตินาที่ได้ชูถ้วยแชมป์โลกหลังคว่ำเนเธอร์แลนด์ ในนัดชิงชนะเลิศ ไปด้วยสกอร์ 3-1 หากเราว่ากันตามตรงเหล่านักเตะในทีมชุดนั้นถือว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับต้น  ของโลกเมื่อประกอบกับการได้เล่นในผืนแผ่นดินของตนเองด้วยแล้ว ย่อมเป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะคว้าแชมป์ได้ แต่ด้วยความกดดันย่อมมีมากเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากการพลาดท่าพ่ายแพ้อิตาลีในนัดสุดท้ายของรอบแรก ทำให้ผิดแผนในการเล่นรอบสองเล็กน้อย 

แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือการใช้โปรแกรมการแข่งขันให้เป็นประโยชน์ ในฟุตบอลโลกยุคปัจจุบันนั้น เกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม จะเตะในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการรับรู้ผลการแข่งขันล่วงหน้าที่อาจทำให้มีการตกลงผลประโยชน์กันล่วงหน้า แต่ในเวลานั้น ทีมชาติอาร์เจนตินาได้ลงแข่งหลังจากทีมชาติบราซิลเตะไปแล้วราว 3 ชั่วโมง นั่นทำให้พวกเขามีเวลาที่จะใช้อำนาจมืดของตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทีมชาติ และนั่นจึงเป็นที่มาของคลื่นใต้น้ำที่แม้แต่ตัวนักเตะของทีมชาติตนเองก็ยังไม่รับทราบถึงเรื่องนี้ ในตอนนั้น ทำให้หลายคนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดเป็นตราบาปแก่วงการฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินามาจวบจนทุกวันนี้

ขอบคุณภาพจาก : FIFA

อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย
Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)