18 พ.ค.64 - เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เก็บกู้ซากถังเชื้อเพลิงจรวดอวกาศ ที่ตกอยู่ใต้ทะเล จ.ภูเก็ต ได้สำเร็จ ขณะนี้ยังไม่ทราบที่มาว่าตกมาเมื่อใด และเป็นชิ้นส่วนจากจรวดอวกาศของใคร ด้านจิสด้า ระบุถึงเวลาประเทศไทยมีกฎหมายอวกาศ
ศรชล.ภาค 3 ได้ประสานความร่วมมือกับ จิสด้า (GISTDA) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผู้เชี่ยวชาญร่วมวางแผนการเก็บกู้ถังเชื้อเพลิงของจรวดที่ถูกนำส่งขึ้นสู่อวกาศ โดยค้นพบที่บริเวณเกาะแอล จังหวัดภูเก็ต จนภารกิจสำเร็จลุล่วงไปแล้วเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา
วัตถุดังกล่าวมีลักษณะเป็นโลหะทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 70 เซ็นติเมตร ตรวจสอบละเอียดไม่ใช่วัตถุระเบิดและไม่มีสารพิษ แต่เป็นส่วนของชิ้นส่วนจรวดอวกาศ
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA
กล่าวว่า ถังเชื้อเพลิงของจรวดที่ตกกลางทะเลภูเก็ต ตอนนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดว่าใครเป็นเจ้าของ ซึ่งโชคดีไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเสียหายหรือได้รับอันตรายจากวัตถุอวกาศนี้ คาดว่าการตรวจสอบน่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน อาจยากที่จะหาคนมารับผิดชอบ โดยจิสด้าได้รับมอบนำมาใช้ในการศึกษาวิจัย และแสดงในพิพิธภัณฑ์อวกาศของ GISTDA เพื่อให้ประชาชนได้ชมต่อไป
อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ GISTDA จะเป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยควรเร่งเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความรับผิด ระหว่างประเทศสำหรับความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอวกาศ ค.ศ.1972 และ อนุสัญญาว่าด้วยความรับจากวัตถุอวกาศ ค.ศ.1975 อย่างเร่งด่วน เพราะจะคุ้มครองประชาชนชาวไทยได้ดีกว่าการปรับใช้สนธิสัญญาอวกาศค.ศ. 1967 และความตกลงว่าด้วยการช่วยเหลือและส่งกลับฯ ค.ศ. 1968 เนื่องจากปัจจุบันการดำเนินกิจกรรมอวกาศมีมากขึ้นความเสี่ยงภัยที่คนไทยจะได้รับยิ่งก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามมา โดย GISTDA ในฐานะหน่วยงานหลักของรัฐในด้านกิจการอวกาศ ก็จะเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่างๆ ต่อไป
โดยเฉพาะ “กฎหมายอวกาศ” ที่ถึงเวลาที่ไทยจะต้องมีกฎหมายในเรื่องนี้แล้ว ถึงแม้วัตถุอวกาศที่ตกมาสู่พื้นโลกจะไม่ได้สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน แต่กฎหมายอวกาศหรือข้อตกลงทางด้านอวกาศ ได้มีการกล่าวถึงรายละเอียดของการชดใช้ความเสียหายที่เกิดจากจรวด หรือดาวเทียม หรือสถานีอวกาศ ซึ่งประเทศที่เป็นเจ้าของวัตถุนั้นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวที่เกิดขึ้น
ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ในอวกาศมีวัตถุอวกาศ อาทิ ดาวเทียม หรือสถานีอวกาศมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมแล้วเป็นแสนๆชิ้น ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบหรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจากการตกสู่พื้นโลกของวัตถุอวกาศได้
คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ และคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เห็นชอบ ใน(ร่าง) พระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... แล้ว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 และขณะนี้ กระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. ได้นำร่าง พรบ.ฉบับดังกล่าว เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและกำกับให้การดำเนินกิจการอวกาศในประเทศไทยเป็นไปตามมติของคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ และเป็นไปด้วยความเหมาะสม
อย่างไรก็ตามปัจจุบันสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านอวกาศของสหประชาชาติ มีอยู่ 5 ฉบับ ประกอบด้วย 1.สนธิสัญญาว่าด้วยหลักเกณฑ์การดำเนินกิจการของรัฐในการสำรวจและการใช้อวกาศภายนอก รวมทั้งดวงจันทร์ และเคหะในท้องฟ้าอื่น ๆ ค.ศ. 1967
2.ความตกลงว่าด้วยการช่วยชีวิตนักอวกาศ การส่งคืนนักอวกาศ และการคืนวัตถุที่ส่งออกไปในอวกาศภายนอก ค.ศ. 1968
3.อนุสัญญาว่าด้วยความรับผิด ระหว่างประเทศสำหรับความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอวกาศ ค.ศ.1972
4.อนุสัญญาว่าด้วย การจดทะเบียนวัตถุอวกาศ ค.ศ.1975
5.ความตกลงว่าด้วยกิจกรรมของรัฐบนดวงจันทร์และเทหะในท้องฟ้าอื่น ค.ศ. 1979