X
ป้ามล ทิชา” ปลุก! คนทำงานคุ้มครองเด็กเติมความกล้าหาญ

ป้ามล ทิชา” ปลุก! คนทำงานคุ้มครองเด็กเติมความกล้าหาญ

22 พ.ย. 2566
350 views
ขนาดตัวอักษร

22 ..66 - “ป้ามล ทิชา” ปลุกคนทำงานคุ้มครองเด็กเติมความกล้าหาญ “ลดพิธีกรรม อีเว้น  สร้างเครือข่ายต้องทะลุทะลวงปัญหา” อย่าพอใจแค่ความสำเร็จแบบเคสบายเคส ขอทำจริง ต่อเนื่อง มีพลวัติและใช้อำนาจร่วม


เวทีสานพลังผู้ทำงานด้านการคุ้มครองและความปลอดภัยในเด็ก จัดขึ้นโดยเครือข่ายผู้ทำงานเกี่ยวข้องด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน  กรุงเทพมหานคร ยูนิเซฟ(ประเทศไทยกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) 


โดยช่วงหนึ่งของงาน นางทิชา  นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ที่ปรึกษามูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว ได้ปาฐกถา ในหัวข้อ การคุ้มครองเด็กตามบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปโดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมและยึดประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่ในเพจของมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว

 

นางทิชา  นคร กล่าวว่า วันนี้ขออนุญาตใช้เสียงใช้พลังใช้ความกล้าหาญพูดแทนเด็ก  ไม่ใช่พูดในนามแห่งความรักความปรารถนาดี เพื่อแสดงความเป็นผู้ใหญ่ใจดีอย่างเลื่อนลอย ซึ่งส่วนตัวถือว่าเป็นพิธีกรรมที่ไม่ค่อยสนิทใจ วันนี้จึงขอพูดในนามของผู้ร่วมรับผลจากบาดแผลของเด็ก  อันสืบเนื่องจากที่พวกเขาเข้าไม่ถึง  สิทธิ โอกาส ความฝันพื้นที่สร้างสรรค์ รวมถึงการเติบโตภายใต้ระบบอำนาจนิยมที่เป็นมรดกบาปจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งมีส่วนผลักดันให้เด็กจำนวนหนึ่ง ตกลงไปใน “หลุมดำขนาดใหญ่ของสังคม” หลุมดำที่เด็ก  ไม่ได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่มันเกิดจากความไม่กล้าหาญในการตัดสินใจของผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบ ผู้ใหญ่ที่เกิดก่อนในชื่อต่าง  เช่น พรรคการเมืองรัฐบาล  องค์กรรัฐ กลุ่มธุรกิจ กลุ่มทุน แม้แต่เอ็นจีโอที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายสาธารณะที่มีวิสัยทัศน์เพื่อเด็ก รวมถึงครอบครัว 20 กว่าล้านครอบครัว ให้เติบโตภายใต้ระบบนิเวศทางสังคมที่เหมาะสมได้


เมื่อนโยบายสาธารณะของประเทศไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่ Empower พลังบวกให้กับเด็กๆ “ผลผลิต ผลลัพธ์ และอิมแพค” ทั้งหมด ทั้งมวล จึงไปตกที่เด็กอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเด็กที่ทุนชีวิตต่ำ เด็กที่มีแผล ชีวิตของเขาจะพังพินาศก่อนใคร แต่ที่อัปยศกว่านั้นก็คือ เมื่อเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งต้องบอบช้ำ บาดเจ็บจากการเข้าไม่ถึงสิทธิ โอกาส ความฝันพื้นที่สร้างสรรค์ ขณะเดียวกันต้องแบกรับมรดกบาปในชื่อระบบอำนาจนิยมที่ผู้ใหญ่บูชา สมาทาน ซึ่งส่งผลต่อเด็ก ในหลากหลายรูปแบบ เช่น เด็กบางคน – บางกลุ่ม ที่อ่อนไหวต่อการถูกละเมิดสิทธิ เสรีภาพและโต้กลับในรูปแบบต่างๆ ไม่เข้าพวก ต้องขบถ ต้องคำราม เพื่อปกป้องความคิด ความเชื่อของตัวเอง 

ส่วนเด็กบางคน – บางกลุ่ม หลุดไปเป็นผู้แพ้ของสังคมในรูปของเหยื่อ โดยเฉพาะเหยื่อชั้นล่างสุดของเหยื่อ เช่น เด็กในขบวนการค้ามนุษย์ ธุรกิจทางเพศ ยาเสพติด ในขณะที่เด็กบางคน – บางกลุ่ม หลุดไปเป็นผู้กระทำหรือเหยื่อที่แข็งแรงกว่าเหยื่อด้วยกัน โดยการฟูมฟักตัวเองให้แกร่งขึ้น ก้าวร้าวขึ้น เพื่อจะได้เป็นผู้รอดในสังคมที่สิ้นหวัง ไม่มีตัวตนไม่มีคุณค่า  นาทีที่เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าวข้างต้น เสียงด่าทออย่างเกรี้ยวกราด เหยียดหยาม ด้อยค่า ผลักไสเด็กๆ ออกไปจากสังคมก็อื้ออึงถล่มทลาย ขณะที่ผู้ปกป้องเด็ก  ยังไร้ตัวตน ยังเป็นเสียงแห่งความเงียบ  พื้นที่แห่งความปลอดภัย ทั้งที่คนเหล่านั้น มีตำแหน่ง มีหน้าที่ มีความรับผิดชอบต่อเด็ก  ตามกฎหมาย

สำหรับผู้คนที่เกรี้ยวกราดใส่เด็ก  พวกเขาคงลืมสนิทไปแล้วว่า ทั้งตัวเขาในฐานะคนด่า ทั้งตัวเด็ก “ไม่มีใครปรารถนาที่จะเกิดมาเพื่อเป็นผู้แพ้  เพื่อเป็นคนเลว เพื่อถูกเกลียดชัง เพื่อเป็นผู้ก่ออาชญากรรม” แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความผิดพลาด ความก้าวร้าว ความดื้อรั้น การโต้กลับ การไม่เข้าพวก ของมนุษย์เด็กถูกประกอบสร้างโดยรัฐ  ผ่านทางระบบนิเวศทางสังคมที่ไม่เป็นมิตร ไม่ปลอดภัยและการถูก Empower แต่ด้านมืดมากกว่าด้านสว่าง ขณะที่ความรับผิดชอบของพรรคการเมือง รัฐบาล องค์กรรัฐ กลุ่มธุรกิจ กลุ่มทุน รวมถึงกลุ่มเอ็นจีโอและคนเกิดก่อน กลับไม่ปรับตัวไม่ปรับกติกาไม่ปรับกฎหมายไม่ปรับกลไกโดยเฉพาะกลไกที่เกี่ยวข้องกับเด็ก  ให้เป็นกลไกแนวมนุษยนิยมด้านสิทธิเด็กที่แข็งแรง กล้าหาญ ท้าทายทุกอุปสรรคที่ขัดขวางเพื่อไปให้ถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก  

เยาว์วัยมีไว้ให้ผิดพลาดและการเยียวยาที่ประณีต จึงเป็นแค่ Soft Power ในตำรา ในห้องประชุม โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่เหล่านั้นไม่มีความรู้ไม่มีงบประมาณไม่มีทรัพยากร แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือความกล้าหาญที่จะก้าวออกมา จากพื้นที่แห่งความปลอดภัย พร้อม Passion ต่อระเบียบใหม่ๆ ของสังคม ของโลก เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง ปลอดภัย งดงาม บนฐานของสิทธิเด็กสากล ดูเหมือนว่า...การจับมือถักทอกันเป็นเครือข่าย เป็น Net Work ในแต่ละภารกิจ แต่ละเทศกาลขององค์กรต่างๆ ในสังคมไม่ใช่เพื่อ Movement ไม่ใช่เพื่อ Attack สิ่งที่คุกคาม สิทธิโอกาส ความฝัน พื้นที่สร้างสรรค์ และระบบอำนาจนิยม แต่เป็น Net work เพื่อให้จบพิธีกรรม ให้จบอีเว้นท์ เพื่อเข้าสู่อีเว้นท์ใหม่ต่อไป

ถ้าความร่วมมือของผู้มีอำนาจในระดับการตัดสินใจทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งเกิดขึ้นและผ่านไปแล้วนับร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง สามารถก้าวข้ามความสำเร็จแบบ Day by Day / Case by Case หรือพิธีกรรมที่เรียบร้อย – สวยงาม แต่เปราะบาง “สู่...การทำจริง – ทำต่อเนื่อง คงเส้นคงวา - ทำแบบมีพลวัต – ทำแบบทะลุขีดจำกัด – ทำบนหลักคิดอำนาจร่วม – ทำแบบไร้รอยต่อ” ภายใต้นโยบายสาธารณะเพื่อเด็ก เยาวชนและครอบครัว 20 กว่าล้านครอบครัวอย่างมีวิสัยทัศน์  ที่สำคัญเปี่ยมด้วยความเชื่อที่หนักแน่นและศรัทธาที่แรงกล้าต่อมนุษย์ที่เป็นเด็ก “นั่นแหละคือคำตอบ ที่พวกเรากำลังตามหา” เพราะ...เด็กไม่ใช่แค่เด็ก แต่เขาคือเมล็ดพันธุ์ที่พิเศษสุด ที่โลกได้มอบให้กับพวกเรา อนาคตของเด็กจึงไม่ใช่แค่อนาคตของปัจเจกบุคคล แต่เป็นอนาคตของสังคม ของประเทศและของโลกสุดท้ายอย่าลืมเตือนตัวเอง  ก่อนเอ่ยวาจาว่า เด็กสมัยนี้...”

อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย
Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)