26 ธ.ค. 66 - ในปี 2023
ที่กำลังจะผ่านไป
กลายเป็นปีที่มีเหตุการณ์หลากหลายทั้งสงคราม เศรษฐกิจ และอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดคือเป็นปีที่มีการปลดพนักงานมากสุด
จนเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการLayoff เลยทีเดียว
ตลอดช่วงปี 2023 ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือการปลดพนักงานในธุรกิจใหญ่นั่นคือ ธุรกิจด้านเทคโนโลยี โดยสำหรับบริษัทใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Google, Microsoft, Amazon , Meta และบริษัทอื่น ๆ ที่เรียกว่า Big tech ซึ่งปรากฎการณ์ Lay off ครั้งนี้ไม่ได้พึ่งเกิด แต่ลามมาตั้งแต่ปี 2022 แล้ว โดยตัวเลขการ layoff หากนับตั้งแต่ปี 2022 น่าจะแตะหลักเลขสี่แสนคนเข้าไปแล้ว ซึ่งมากสุดนับตั้งแต่วิกฤตซับไพร์ม ในปี 2007
นี่ยังไม่รวมตัวเลขจากบริษัท
Start Up หรือ Unicorn
อีกมากมายที่ปิดตัวไป
และธนาคารชั้นนำด้านเทคโนโลยี เช่น Silicon Valley Bank ยังล้มละลายลงไปอีก กระแทกซ้ำไปอีกระลอก
นอกจากนั้นยักษ์ใหญ่วงการ Sport Fashion อย่าง Nike แม้จะครองตำแหน่งแบรนด์สปอร์ตแฟชั่น 1 ของโลกมาอย่างยาวนานา แต่จากข้อมูลจากสำนักข่าว The Wall Street Journal ไนกี้ได้มีแผนปรับลดประมาณการรายได้ในปีนี้ ท่ามกลางความกังวลว่า ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตรองเท้าผ้าใบและเครื่องแต่งกายยักษ์ใหญ่คาดว่า ยอดขายในช่วงเดือนสุดท้ายของปีจะปรับลดลงอีก โดยจากสถานการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้ ไนกี้เตรียมแผนลดต้นทุนอย่างต่ำ ๆ ลงราว 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 69,200 ล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้า ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กรและปลดพนักงาน โดยในปีนี้ไนกี้คาดว่าจะเติบโตจากปีก่อนเพียง 1% เท่านั้น ยังไม่รวมซับพลายเออร์ในประเทศต่าง ๆ เช่นเวียดนามที่มีข่าวปลดคนงานตลอดมา ทั้งไนกี้ และ แบรนด์คู่แข่งอย่าง อดิดาส
เกิดอะไรขึ้นในปี 2023 ปัจจัยมหภาคต่าง ๆ โดยข้อมูลจากสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ
แสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ที่สืบเนื่องจากสาเหตุหลายประการ
ทั้งเพดานหนี้รัฐบาล สงครามยูเครน-รัสเซีย
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อชะลอการเติบโตของอัตราเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ
40 ปี นำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยที่ชะลอตัวลง เมื่อรายได้และกำไรลดลง
การลดพนักงานหรือ LayOff กลายเป็นหนทางแรกที่หน่วยธุรกิจต่าง
ๆ ทำเป็นอย่างแรก
เช่นเดียวกับทางด้านสหรัฐฯ
จีน เองก็เช่นเดียวกัน หลังจากโควิด 19 เศรษฐกิจจีนอยู่ในสภาวะเสี่ยงเงินฝืด
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค
(CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเดือนตุลาคม
พบว่า ปรับตัวลง 0.2%. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ซึ่งปรับตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ใน Reuters คาดการณ์ไว้ที่
0.1% หลังจากการทรงตัวในเดือนกันยายน
และเช่นเดียวกับวัน 11.11 หรือวันคนโสดของจีน
ที่จะเป็นวันที่ร้านค้าออนไลน์จะขายสินค้าอย่างถล่มทลาย
ในปีนี้ก็มียอดขายที่ลดลงเช่นกัน
โดยเว็บไซต์ด้านการหางานด้านธุรกิจชื่อดังอย่าง
Linked In ได้ลงบทความอธิบายการ
Lay Off พนักงานในช่วงนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
4 ข้อ ดังนี้
1. หน่วยธุรกิจต่าง ๆ กำลังคาดการณ์ถึงวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต
โดยบริษัทชั้นนำเหล่านี้มักจมูกไวอยู่เสมอ ว่าจะเกิดภาวะอะไรบางอย่างต่อเศรษฐกิจ
เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่บริษัทชั้นนำเหล่านี้จะทำ ก็คือการปลดพนักงานออก เพื่อรักษาหน่วยธุรกิจหลักเอาไว้
2. การจ้างงานมากเกินไปในช่วงที่เกิดโรคระบาด
การใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงพีคของการระบาดใหญ่
เนื่องจากทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทางออนไลน์ ระหว่างที่อยู่ในการกักตัว
ผู้คนต่างทำงานจากที่บ้าน สั่งอาหารและซื้อของออนไลน์ และทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องออกจากบ้าน
บริษัทด้านเทคโนโลยีและออนไลน์ได้รับผลกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ อันเป็นผลมาจากกิจกรรมออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างเช่น Meta เพิ่มจำนวนพนักงานเกือบสองเท่า
ในขณะที่ปีนี้พวกเขาประกาศว่าจะเลิกจ้างพนักงานเกือบ 11,000 คน
จากการที่ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ความต้องการบริการด้านเทคโนโลยีออนไลน์ก็ลดลง
และความต้องการพนักงานใหม่ก็ลดลงเช่นกัน
3. แรงกดดันจากเหล่าผู้ถือหุ้น
ผู้ถือหุ้นต้องการให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายเนื่องจากรายได้ชะลอตัว
บริษัทต่างๆ เช่น Meta และ Microsoft อาจเผชิญกับความไม่พอใจของผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับจำนวนพนักงานที่สูงเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น
ๆ
4. การเลิกจ้างเท่ากับลดรายจ่ายและกำไรเพิ่มขึ้น
ความคิดฝังหัวของเหล่าผู้ประกอบการคือหากกำไรลดลง
การเลิกจ้างคือคำตอบแรกหากต้องการให้รายจ่ายลดลง และกำไรเพิ่มขึ้น
นั่นคือทางออกในหลาย ๆ หน่วยธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์การเลิกจ้างเป็นสิ่งแรก
นอกจากนั้นการเข้ามาของเทคโนโลยี AI ก็อาจจะเข้ามาแทนในหลายตำแหน่ง ที่ AI สามารถทำได้ และอาจจะทำได้ดีกว่ามนุษย์ เหตุเพราะ AI ไม่มีเหนื่อยและป่วย ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเช่น IBM บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลกประกาศหยุดการจ้างงานชั่วคราวกว่า 7,800 ตำแหน่ง โดยจะใช้ AI แทน การปลดพนักงานและลดตำแหน่ง 1.5% ของพนักงานทั้งหมดส่งผลให้ IBM ทำกำไรเพิ่มขึ้นต อีกทั้งยังลดภาระค่าใช้จ่ายจำนวน 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 66,000 ล้านบาทต่อปี
ส่วนหนึ่งของบทความจาก https://www.linkedin.com/pulse/4-reasons-why-big-tech-companies-laying-off