12 มี.ค. 67 - ประธานระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ย้ำในวันพุธว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แต่ต้องการจะเห็นตัวบ่งชี้มากขึ้นกว่านี้ว่าทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงอย่างยั่งยืนในกรอบเป้าหมายที่ 2% ของเฟดเสียก่อน
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ข้อมูลด้านนโยบายการเงินของเฟดต่อสภาคองเกรสในวันพุธ ระบุว่า ภาวะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอตัวลงทั้งสินค้าและบริการ และไม่ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลด้านเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนมกราคมที่ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยแต่อย่างใด ประธานเฟด ยังกล่าวว่า เฟดกำลังเผชิญกับความเสี่ยง 2 อย่าง คือ การปรับลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป ซึ่งอาจทำให้ความก้าวหน้าในการสกัดเงินเฟ้อเลวร้ายลง หรือเลือกที่จะปรับลดดอกเบี้ย “ช้าเกินไปหรือน้อยเกินไป” ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอและกระทบต่อการจ้างงานในสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ ตลาดเงินตลาดทุนต่างจับตาการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายนัดแรกของเฟด ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 23 ปี ที่ 5.4% และคาดการณ์ว่าการหั่นดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ ขณะที่ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน คาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยทั้งหมด 3 ครั้งในปีนี้ ในการแถลงของพาวเวลล์ในวันพุธ เขาไม่ได้ส่งสัญญาณใด ๆ ถึงกรอบเวลาของการปรับลดดอกเบี้ย แต่ได้ย้ำกว่าผู้กำหนดนโยบายการเงินของเฟดต่างเชื่อว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้จบสิ้นลงแล้ว และเป็นระดับที่เพียงพอในการควบคุมเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของประเทศ ขณะที่นักลงทุนคาดว่า โอกาสที่เฟดจะหั่นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนนี้อยู่ที่ 69% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ที่ 64% เมื่อสัปดาห์ก่อน
ทั้งนี้ ระดับเงินเฟ้อโดยรวมของสหรัฐฯ อยู่ในทิศทางไม่ร้อนแรง แต่ปรับตัวสูงกว่าคาดในเดือนมกราคมที่ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดความร้อนแรงจากระดับ 7.1% ในปี 2022
แน่นอนว่าหากมีการลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็จะส่งผลต่อการลดดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น แต่เช่นเดียวกัน การลดดดอกเบี้ยอาจจะส่งผลต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ก็ผู้เชี่ยวชาญหลายส่วนก็คิดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ เอง ก็ไม่กล้าที่จะลดดอกเบี้ยลงมาก เพราะกลัวปัญหาเรื่องเงินเฟ้อจะกลับมาอีก จึงคาดว่าลดมากที่สุดไม่น่าเกิน 1 % เท่านั้น
สำหรับประเทศไทย ยังคงเป็นการงัดกันระหว่างรัฐบาลที่ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ย เพื่มเพิ่มสภาพคล่องของประชาชน รวมทั้งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มากขึ้นของคนในประเทศ และที่สำคัญยังเป็นการเพิ่มกระสุนในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่วนอีกฝั่งหนึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องรักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อและเงินฝืด เช่นเดียวกับการไหลออกของสกุลเงิน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเก็งกำไรกับค่าเงินและดอกเบี้ย ปัญหาทั้งสองฝั่งจึงเป็นปัญหาที่เป้นเส้นขนานกัน หากว่าสถานการณืดอกเบี้ยทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงมีดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขนาดนี้ ประเทศไหนในโลกก็ขยับยาก