อีกไม่กี่วันฟุตบอลโลก 2022 ก็จะเริ่มเตะกันแล้ว แต่จนถึงป่านนี้ประเทศไทยยังไม่สามารถปิดดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกันได้เลย สาเหตุหลักสำคัญว่ากันว่ามาจากการมีกฎ Must Have ของ กสทช. ทำให้ตัวเลขลิขสิทธิ์แพงขึ้นไปถึงราว 1,600 ล้านบาท Backbone MCOT เลยขอพาไปดูว่ากฎนี้คืออะไร เหตุใดทำให้ไทยซื้อลิขสิทธิ์แพงขึ้น
Must Have คือ กฎที่ออกโดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) บังคับให้ มหกรรมกีฬา 7 รายการใหญ่เบิ้มๆ ที่คนไทยมีสิทธิเข้าแข่งได้ ต้องได้ดูฟรีผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องฟรีทีวี ประกอบด้วย ซีเกมส์ , อาเซียนพาราเกมส์ , เอเชี่ยนเกมส์ , เอเชี่ยนพาราเกมส์ , โอลิมปิกเกมส์ , พาราลิมปิกเกมส์ และฟุตบอลโลก
สำหรับสาเหตุที่มีกฎ Must Have เกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อครั้งฟุตบอลโลก 2014 ที่มี บริษัท อาร์ เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดในประเทศไทย ได้ออกกลยุทธ์ทางการตลาด โดยจะถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีเพียง 22 นัด จากทั้งหมด 64 นัด ที่เหลือจะให้ดูได้ผ่านกล่องทีวีดาวเทียมของอาร์เอส ทำให้ กสทช. ต้องออกกฎ Must Have ขึ้น เพื่อบังคับเจ้าของลิขสิทธิ์ ให้ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครบทุกคู่ผ่านฟรีทีวี
ในครั้งนั้นเองยังทำให้ กสทช. ต้องเสียเงินจำนวน 427 ล้านบาท จากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) เพื่อชดเชยให้ อาร์เอส เป็นค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ และให้อาร์เอสนำไปเยียวยาลูกค้าที่นำกล่องทีวีดาวเทียมมาคืน
ด้วยการที่มีกฎ Must Have นี้เอง ต่อมาเลยทำให้ภาคเอกชนกล้าๆกลัวๆที่จะลงทุนค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจเช่นนี้ด้วย เพราะติดข้อจำกัดเรื่องการนำไปบริหารจัดการให้มีกำไรผ่านการออกอากาศในแพลตฟอร์มต่างๆ ฉะนั้นจึงกลายมาเป็นหน้าที่ของภาครัฐในการดำเนินภารกิจคืนความสุขให้คนไทยได้ดูฟุตบอลโลกครบทุกคู่ในวงรอบ 4 ปี
ย้อนไปฟุตบอลโลก 2018 รัฐบาลได้ผนึกภาคเอกชน 9 แห่ง ให้ร่วมกันลงขันซื้อลิขสิทธิ์ไปทั้งสิ้น 1,141 ล้านบาท และมีค่าลงทุนทางเทคนิคอีกประมาณ 259 ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 1,400 ล้านบาท
แต่สำหรับในปีนี้ ยังไม่มีทีท่าว่าภาคเอกชนรายใดจะยื่นมือเข้ามาช่วยรัฐบาลไทยคืนความสุข ประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2022 ทำให้หน่วยงานรัฐของไทยต้องไปดีลค่าลิขสิทธิ์เอง โดยใช้เงินจากกองทุน กทปส. ของ กสทช. เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาเรื่องการใช้เงินจากภาษีประชาชน แต่ปัญหากลับอยู่ที่ตัวเลขค่าลิขสิทธิ์ที่พุ่งสู่งขึ้น
ทางดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า “ได้เสนอกรอบวงเงินในการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ไปทั้งสิ้น 1,600 ล้านบาท ซึ่งต้องยอมรับว่าการที่ทางเอเย่นต์ของฟีฟ่ารู้ว่าบ้านเรามีกฎ กติกา เรื่องลิขสิทธิ์แบบนี้ จึงเรียกราคามาค่อนข้างสูง ทำให้ไทยต้องเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสม ไม่ถูกเอาเปรียบจนเกินไป”
ทีนี้มาดูค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกของประเทศอื่นๆในภูมิภาคอาเซียนกันบ้าง โดย มาเลเซีย มีรายงานว่า สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลมาเลเซีย ได้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ไปด้วยเงินประมาณ 260 ล้านบาท ส่วน เวียดนาม มีรายงานว่าสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลเวียดนาม ได้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ด้วยเงินจำนวน ประมาณ 530 ล้านบาท
จากนี้คงต้องรอลุ้นกันตัวโก่งว่าสุดท้ายแล้วคนไทยจะได้ดูถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 กันหรือไม่ หรือจะเป็นปีแรกที่แฟนบอลชาวไทยต้องหาช่องทางธรรมชาติดูกันเอาเอง