สั้น กระชับ และโดนใจ ? กับข้อมูลบทสรุป 15 ข้อ..จาก หมอยง (ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ) ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา ซึ่งได้อนุเคราะห์ถอดบทเรียน เป็นบทความ จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นในโลก (โรคอุบัติใหม่) ที่ได้ระบาดเข้ามาใน สังคมไทยกว่า 3 ปี โดยหวังเพื่อให้เกิดประโยชน์ ในอนาคตกับสังคมไทย เป็นสังคมที่อุดมปัญญา มากกว่าที่จะมากล่าว ให้ร้ายแก่กัน
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เมื่อวานนี้ (4 ต.ค. 2565) ซึ่งกล่าวถึงบทสรุปข้อมูล จากการถอดบทเรียน สถานการณ์โรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยระบุว่า
จะถอดบทเรียน เพื่อเป็นประโยชน์ในอนาคต ในสังคมไทย
เมื่อเกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้น ที่มีผลต่อสุขภาพ ร่างกาย และชีวิต โดยเฉพาะเกี่ยวกับไวรัส และยังไม่มียา วัคซีนที่ใช้ในการรักษา และป้องกัน ในระยะแรก ก็มีการตื่นตระหนก และเกิดความกลัว เป็นเรื่องธรรมดา เพราะความไม่รู้
1. หลักการระบาดของโรคไวรัส โรคยิ่งรุนแรง การระบาดจะอยู่วงแคบ เช่น Ebola จะไม่กระจายไปทั่วโลก ที่ไม่รุนแรง หรือ รุนแรงน้อยกว่า จะสามารถระบาด ไปได้ไกลกว่า เช่น ไข้หวัดใหญ่, โรค SARS รุนแรงกว่า covid-19 มาก มีอัตราตายสูงถึง 10% ถึงระบาดไปเกือบ 20 ประเทศ ก็สามารถควบคุมได้ เพราะผู้ป่วยที่เป็น จะมีอาการหนัก โอกาสแพร่กระจาย ไปให้ผู้อื่นได้น้อยกว่า
2. โควิด 19 ในระยะแรก เหมือนมีอาการมาก แต่เมื่อระบาดออกมา กระจายวงกว้าง ตามหลักของวิวัฒนาการของไวรัส จะต้องปรับตัว ให้อยู่ด้วยกันได้เจ้าถิ่น หรือเจ้าบ้าน เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ โควิด 19 พยายามปรับตัว ไม่หายไปไหน และจะอยู่กับเราตลอด โดยการทำลายเจ้าบ้านลดลง ขณะนี้ จึงคล้ายกับไข้หวัดใหญ่
3. ในระยะแรก เมื่อไม่รู้อะไรเลย ทุกคนต้องสร้างความรู้ ด้วยการศึกษาวิจัยให้เร็วที่สุด ไม่ใช่ใช้ความเชื่อ และงานวิจัย ที่เหมาะสมกับบ้านเราเท่านั้น ที่จะเกิดประโยชน์สูงสุด
4. การป้องกัน การแพร่กระจายของโรค ในประเทศไทย ทำได้ดีกว่าตะวันตกมาก ไม่ว่าจะเป็นสุขอนามัย, ล้างมือ, การกำหนดระยะห่าง, ใส่หน้ากากอนามัย นับว่าลดการแพร่กระจาย ในระยะแรกได้เป็นอย่างมาก
5. ทุกคนเรียกร้องวัคซีน คิดว่า วัคซีนจะเป็นทางในการยุติ มีการจองวัคซีน ที่ต้องจ่ายเงินก่อน โดยที่ยังไม่เห็นของ ถ้าของนั้นดีหลายอย่าง และจะต้องเสียเงิน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ของ โชคดีที่ประเทศไทย ไม่ได้จับจองแบบนั้น ถ้าเช่นนั้น เราจะต้องสูญเสียเงินอีกมาก
6. วัคซีนทุกตัว ที่พัฒนาขึ้นมา และมีการใช้โดย องค์การอนามัยโลกรับรอง ได้ผลไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็น วัคซีนเชื้อตาย หรือ virus Vector หรือ mRNA มีการฉีดวัคซีนเชื้อตายทั่วโลก ไปเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก ในขณะที่ประเทศที่ฉีด mRNA วัคซีน เช่น ประเทศอเมริกา และตะวันตก กลับพบว่า มีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าเสียอีก แสดงให้เห็นว่า การป้องกันโรค ไม่ได้อยู่ที่วัคซีน
7. ในระยะแรก ที่วัคซีนขาดแคลน การฉีดวัคซีนสูตรสลับ หรือ สูตรไขว้ เป็นวิธีหนึ่ง ที่ใช้กันมาแต่ในอดีต ไม่ว่าวัคซีนในเด็ก เราจึงฉีดต่างบริษัทกันเสมอ แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนในที่สุด ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลก..ว่า การให้วัคซีนเชื้อตายปูพื้น แล้วกระตุ้นด้วยวัคซีนต่างชนิด ผลลัพธ์ที่ได้ภูมิต้านทาน จะเป็นลูกผสม และมีประโยชน์ ในการป้องกันได้เป็นอย่างดี งานศึกษาวิจัย ที่ออกจากประเทศไทย สูตรไข้ว เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก และองค์การอนามัยโลก ก็ไปเขียนเป็นคำแนะนำ
8. ประสิทธิภาพ ในการป้องกันโรค ขึ้นอยู่กับ จำนวนเข็มของวัคซีน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ชนิดของวัคซีน การให้วัคซีนครบ หมายถึง ต้องให้อย่างน้อย 3 ครั้ง และในกลุ่มเสี่ยง จะต้องได้อย่างน้อย 4 ครั้ง จึงจะเรียกว่า ได้รับวัคซีนครบ
9. ถึงแม้ว่า จะได้รับวัคซีนกี่เข็มก็ตาม ก็ยังสามารถติดโรคได้ แต่ความรุนแรงลดลง จนในที่สุด ทุกคน ก็ยอมรับความจริง และจนปัจจุบันนี้ เข้าใจว่าประชากรไทย มีการติดเชื้อไปแล้ว ถึงร้อยละ 70 ร่วมกับการฉีดวัคซีนอีก ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ มีภูมิต้านทาน ที่เกิดเป็นแบบลูกผสม ที่ถือว่า เป็นภูมิต้านทานที่ดีที่สุด ที่จะลดความรุนแรง ของการติดเชื้อในครั้งต่อ ๆ ไป
10. เราลงทุน กับการสั่งซื้อวัคซีน มาเป็นจำนวนมาก และขณะนี้ เชื่อว่า มีวัคซีนที่เหลือ และกำลังจะหมดอายุ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเงินงบประมาณ ภาษีของเราทั้งสิ้น เราอยากให้ทุกคน ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 3 เข็ม หรือ 4 เข็มในกลุ่มเสี่ยง ตามเป้าหมายก็ยังไม่ได้ แต่วัคซีนก็เหลือเป็นจำนวนมาก
11. การว่ากล่าวให้ร้าย bully ในสังคมไทย เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทำให้ นักวิชาการจำนวนมาก เกรงกลัว และไม่กล้าที่จะพูด ซึ่งเป็นผลเสียอย่างใหญ่หลวง ต่อประเทศชาติ การกล่าวหา ในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง หรือไม่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เราต้องแยกข่าวจริง และข่าวปลอม ออกให้ได้ และไม่ควรแชร์ เอาปลอมออกไปเด็ดขาด
12. การให้ข้อมูล ของประเทศไทย จากนักวิชาการต่าง ๆ ส่วนมาก จะอ่านมา และจับบางประเด็น ที่ตัวเองสนใจ มาเผยแพร่ให้เป็นข่าว ทั้งที่ความจริง ไม่ได้เกิดจาก การศึกษาวิจัยของตัวเอง รวมทั้ง ก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้น มาให้ข้อมูล ทำให้เกิดความสับสน ต่อประชาชนเป็นอย่างมาก
13. ประเทศไทย ควรให้การสนับสนุน การศึกษาวิจัย ในโรคอุบัติใหม่ ยกตัวอย่างเช่น โควิด-19 เราลงทุนเป็นแสนล้าน ในบางอย่าง ถ้าเราใช้เงินเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ เพื่อมาทำงานวิจัย ตอบคำถามให้ชัดเจนว่า สมควรใช้หรือไม่ จะได้ประโยชน์กว่าอย่างมาก และเป็นการประหยัดเงิน โดยเฉพาะเรื่องของ ยารักษาโรคอุบัติใหม่
14. การพัฒนาวัคซีน ในประเทศไทย ขีดความสามารถ หารนักวิจัยอยู่ในวงจำกัด และมีปริมาณน้อยมาก ควรร่วมมือกัน ทำอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่า ที่ต่างคนต่างทำ เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินทอง ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเครื่องมือ แต่เรายังต้องปรับปรุงมาตรฐาน โดยเฉพาะทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจภูมิต้านทาน ต้องได้มาตรฐาน GLP การศึกษาทางคลินิก ประเทศไทย มีความสามารถอยู่แล้ว ในการศึกษาวิจัย อย่าให้ต่างประเทศ... แต่ในระดับโรงงาน และห้องปฏิบัติการ ยังต้องปรับปรุงมาตรฐานขึ้น ไม่เช่นนั้น จะไม่สามารถผลิต และจำหน่าย ออกไปต่างประเทศได้เลย ประชาคมวิจัยมีจำกัด ควรหันหน้าเข้าหากัน พิจารณาเลือกทำตัวใดตัวหนึ่ง มากกว่าที่จะต่างคนต่างทำ
15. เราผ่านมาได้ ถึงทุกวันนี้ ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ในการลดการแพร่กระจาย ของโรคในระยะแรก ที่เรายังไม่รู้อะไรเลย และเราเชื่อว่า ต่อไปนี้ เราจะอยู่กับโรค covid-19 ได้เช่นเดียวกันกับ ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งโรคนี้ ก็ไม่ได้หายไปไหน เรามีวัคซีน ในการลดความรุนแรงของโรค เรามียาดีขึ้น ในการที่จะใช้ในการรักษา ชีวิตจะต้องเดินหน้าต่อไป และสิ่งที่ต้องการอย่างยิ่ง ก็คือว่า ให้สังคมไทย เป็นสังคมที่อุดมปัญญา มากกว่า ที่จะมากล่าวให้ร้ายแก่กัน
#BackboneMCOT
อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก :
เฟซบุ๊ก : Yong Poovorawan (ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ)
https://www.facebook.com/yong.poovorawan
5 ต.ค. 2565
650 views
ขนาดตัวอักษร
อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย