18 เม.ย. 67 - น้ำท่วมครั้งใหญ่ในดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลายเป็น Talk Of The Town ที่เกิดในประเทศที่มีภูมิเทศส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย
ภาพมวลน้ำจำนวนมากปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ทั้งสนามบินนานาชาติ รวมทั้งถนนหลวงสายสำคัญ จากการเปิดเผยตัวเลขปริมาณฝนล่าสุด สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีฝนตกเป็นประวัติการณ์ วัดได้ 254 มม. (10 นิ้ว) เป็นเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงในเมืองอัลไอน์ เมืองบริเวณชายแดนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์-โอมาน ตามรายงานของ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ นั่นเป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึกในปี 1949
รวมทั้งทำให้บ้านเมืองเสียหาย และคาดว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 18 คนออีกด้วย ยังไม่รวมการจราจรที่เป็นอัมพาต และรวมทั้งสนามบินส่วนใหญ่ถูกปิดทำให้เครื่องบินดีเลย์เป็นจำนวนมาก
น้ำท่วมครั้งใหญ่ในดูไบ ซึ่งเคยเป็นเมืองที่มีสภาพแห้งแล้งอย่างมาก ทำให้เกิดความสงสัยว่าการใช้เทคโนโลยี "Cloud Seeding" หรือ “ฝนเทียม” เพื่อเร่งให้เกิดฝนตกอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้
Cloud Seeding คือเทคนิคเร่งให้เกิดฝนตก ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำฝนในบริเวณที่ขาดแคลน เป็นกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนสภาพอากาศที่มีมานานหลายทศวรรษ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย กระบวนการนี้สามารถทำได้จากภาคพื้นดิน โดยใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้า หรือด้วยเครื่องบินโดยการปล่อยสารเคมี เช่น เกลือ หรือโพแทสเซียมคลอไรน์ เข้าไปในเมฆเพื่อกระตุ้นการควบแน่นและกระตุ้นให้เกิดฝนตก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยน้อยกว่า200 มิลลิเมตรต่อปี ตรงกันข้ามกับค่าเฉลี่ยของลอนดอนที่1,051 มิลลิเมตรและ3,012 มิลลิเมตร ของสิงคโปร์ ขณะที่อุณหภูมิอาจสูงถึง 50 องศาเซลเซียส (122 องศาฟาเรนไฮต์) ในช่วงฤดูร้อน โดยที่ 80% ของภูมิประเทศของประเทศถูกปกคลุมไปด้วยภูมิประเทศแบบทะเลทราย
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เริ่มโครงการ ในช่วงทศวรรษ 1990 ใช้ส่วนประกอบที่เป็นเกลือจำนวนหนึ่งซึ่งถูกเผาและยิงเข้าไปในก้อนเมฆจากเครื่องบินที่ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (NCM) ระบุว่า เครื่องบินพิเศษใช้เกลือธรรมชาติเท่านั้น และไม่มีสารเคมีอันตราย
ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จัดสรรเงินจำนวน 20 ล้านดอลลาร์ สำหรับการวิจัย โดยร่วมมือกับ ศูนย์วิจัยบรรยากาศแห่งชาติในโคโลราโดและ NASA เพื่อกำหนดวิธีการสำหรับโปรแกรมฝนเทียม
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีการใช้เครื่องบินในการปล่อยสารเคมีออกไปในเมฆอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งให้เกิดการตกของฝน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญรายอื่นๆ ชี้ว่าสาเหตุของฝน มากจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในรายงานของสำนักข่าวเอเอฟพี ฟรีเดอริก อ็อตโต นักอุตุนิยมวิทยากล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ “ฝนที่สร้างความเสียหายและทำลายล้างในโอมานและดูไบจะหนักขึ้นอีก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากฝีมือมนุษย์”
“ดูไบไม่ใช่ว่าเป็นเมืองที่ไม่มีฝุ่น แต่พายุได้กวาดฝุ่นจำนวนมหาศาลออกไปทั่ว ฝุ่นก็เป็นเหมือนสารที่ทำให้เกิดการควบแน่นของก้อนเมฆ ดังนั้นเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามาจากการทำฝนเทียม เมื่อฝุ่นปริมาณเท่าทะเลทรายถูกแขวนลอยอยู่เหนือศีรษะ” เจฟฟ์ เบราร์เดลลี หัวหน้านักอุตุนิยมวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ ตั้งคำถามบนบัญชีโซเชียลมีเดีย X
“ฝนที่ตกอย่างสุดขั้วในอนาคตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามภาวะโลกร้อนตามทฤษฎีและแบบจำลองสภาพภูมิอากาศ แต่ฝนตกสุดขั้วที่เกิดขึ้นบ่อย (รายปี) และที่เกิดขึ้นนานๆครั้ง (ทศวรรษหรือร้อยปี) อาจได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน” วารสาร Nature อธิบาย
อย่างไรก็ตาม ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ หรือ NCM ในกรุงอาบูดาบี ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างฝนเทียมของรัฐบาล ยืนยันว่าการทำฝนเทียมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะใช้เกลือธรรมชาติเป็นหลัก ไม่ได้ใช้สารเคมีซิลเวอร์ ไอโอไดด์ แต่อย่างใด การเพาะเมฆ หรือการทำฝนเทียม จึงไม่น่าจะส่งผลเสียต่อสภาวะแวดล้อม ส่วนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝนตกหนักมากผิดปกติหรือไม่ ยังไม่มีการยืนยันในเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าในช่วง 2 วันก่อนหน้านี้ มีการนำเครื่องบินขึ้นบินในภารกิจทำฝนเทียมถึง 7 ครั้ง.
สุดท้ายผลกระทบของภาวะโลกร้อนน่าจะสร้างปัญหาให้กับสภาพอากาศของทั่วโลกรวมทั้งในดูไบครั้งนี้มากกว่าสาเหตุอื่น ๆ