17 ม.ค. 67 - หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สหรัฐฯ (ก.ล.ต.สหรัฐฯ) ยอมให้สถาบันการเงินสามารถทำกองทุน ETF หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Exchange Traded Fund กองทุนที่จะอ้างอิงตามค่าหลักของตัวอ้างอิงนั้น ๆ ในคราวนี้ก็คือ Bitcoin นั่นเอง
อธิบายง่าย ๆ ภาษามนุษย์ก็คือกองทุนที่สถาบันการเงินจัดตั้งขึ้น โดยให้นักลงทุนสามารถซื้อกองทุน แล้วกองทุนเหล่านั้นก็จะเข้าไปเก็งกำไรกับ Bitcoin แทนนักลงทุน ซึ่งข้อดีก็คือนักลงทุนไม่ต้องเสี่ยงไปซื้อ Bitcoin เอง ไม่ต้องเสี่ยงเปิดกระเป๋าตังดิจิตอลเสี่ยงโดนแฮ็ก
แต่สิ่งสำคัญก็คือความผันพวนของ Cryptocurrency ที่ขึ้นลงได้ตลอด 24 ชั่วโมง ต่างกับหุ้น ซึ่งอาจสร้างผลกำไร หรือขาดทุนอย่างหนักได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง
ถึงกระนั้นก็ตามเหล่าสถาบันการเงิน และบริษัทด้านการลงทุนหลายสิบแห่งในสหรัฐฯ เช่น กองทุนแบล็คร็อค (Blackrock) และ ฟิเดลลิตี (Fidelity) ได้เฝ้ารอมติไฟเขียวจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ มาเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อที่จะได้เริ่มต้นซื้อ Bitcoin สำหรับกองทุน ETF ของตัวเอง
ส่วนหนึ่งที่เหล่ากองทุนใหญ่เหล่านี้ตื่นเต้นก็เพราะว่าจะเป็นการขยายส่วนการลงทุนไปในอีกสินทรัพย์หนึ่ง และสามารถดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่ต้องการลงทุนใน Cryptocurrency แต่ไม่อยากเสี่ยวเปิดพอร์ทหรือกระเป๋าเงินดิจิตอลเอง
การยอมให้เปิด ETF ครั้งนี้ ทำให้ราคาของ Bitcoin กระเตื้องขึ้นในทันที ซึ่งเป็นไปตามคาด ว่าการตั้ง ETF คราวนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเหล่า Cryptocurrency ให้ราคาขึ้นสูงไปกว่านี้ และอาจจะสร้างเสถียรภาพของราคาเนื่องจากมีผู้เล่นเข้ามาหลากหลายมากขึ้น รวมถึงกองทุนใหญ่ที่สามารถเอาเงิน (ของชาวบ้าน) มาลงทุนเพิ่มได้
สำหรับประเทศไทย ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศว่า “ก.ล.ต. ได้ติดตามพัฒนาการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และยังไม่มีนโยบายที่จะอนุญาตให้มี Spot Bitcoin ETF ในประเทศไทย โดยเมื่อพิจารณาการระบุถึงประโยชน์ของ Spot Bitcoin ETF ที่ได้รับอนุญาตในประเทศสหรัฐฯ ที่ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในบิตคอยน์ในกองทุนรวมที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ได้ รวมถึงประโยชน์ของการดูแลการเก็บรักษาบิตคอยน์ในกองทุนรวม ETF ที่ได้มีการกำกับจาก ก.ล.ต. สหรัฐฯ นั้น ประเทศไทย ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2560 (พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล) ผู้ลงทุนไทยสามารถลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านการซื้อขายกับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (ศูนย์ซื้อขายฯ) ที่ได้รับใบอนุญาตตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน ตลอดจนเพื่อให้การซื้อขายเป็นธรรมและโปร่งใส ปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายฯ ที่ได้รับใบอนุญาต จำนวน 9 ราย โดยให้บริการการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีภายใต้ Listing Rule ของศูนย์ซื้อขายฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. อีกด้วย (บิตคอยน์เป็น 1 ในสกุลของคริปโตเคอร์เรนซีที่มีการซื้อขายอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว) รวมทั้งมีกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน เช่น กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้า ต้องมีระบบการบริหารจัดการกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้ในการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล (Wallet) และกุญแจ (Cryptographic Key) เพื่อให้การเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และทรัพย์สินของลูกค้ามีความปลอดภัย”
“สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) สามารถให้บริการลูกค้ารายย่อยไปลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่างประเทศได้ แต่ผลิตภัณฑ์นั้นต้องมีลักษณะเดียวกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนที่สามารถออกเสนอขายในประเทศไทยได้ จากการที่ Spot Bitcoin ETF รวมถึงหลักทรัพย์อื่นที่อ้างอิงคริปโทเคอร์เรนซี เช่น Depositary Receipt (DR) เป็นหลักทรัพย์ที่ยังไม่สามารถออกเสนอขายในประเทศไทยได้ ดังนั้น จึงเป็นหลักทรัพย์ที่ไม่อยู่ในขอบเขตที่ บล. สามารถให้บริการแก่ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศลงทุนโดยตรงได้ รวมทั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้กองทุนรวมไปลงทุนตรงใน Spot Bitcoin ETF ได้โดยตรงเช่นกัน”
“ทั้งนี้ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงการคุ้มครองผู้ลงทุนในการได้รับคำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสม และเห็นว่าพัฒนาการของ Spot Bitcoin ETF ในต่างประเทศยังอยู่ในระยะเริ่มต้น และอาจยังไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยตรงที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้น ก.ล.ต. จึงขอติดตามพัฒนาการ การกำกับดูแล และการดำเนินการในด้านต่าง ๆ ให้มั่นใจเพียงพอถึงมาตรการคุ้มครองดูแลผู้ลงทุน เพื่อพัฒนาแนวทางการกำหนดนโยบายในการกำกับดูแลต่อไป” ก.ล.ต. แถลง
ซึ่งดูจากความผันพวนของราคาที่มีการพลิกผันกันได้ตลอดทั้งวัน ถือว่ามีความอันตรายค่อนข้างสูง ซึ่งอาจสร้างปัญหาให้แก่นักลงทุนได้ และอีกส่วนที่สำคัญอีกอย่างคือ มองอีกด้านการเปิดกองทุนเหล่านี้ถือว่าเป็นการรักษาเสถียรภาพให้เหล่า Cryptocurrency หรือไม่ โดยเฉพาะเหล่ากองทุนที่ไปลงใน Cryptocurrency เมื่อสามารถสร้างกองทุนได้ ก็เอาเงิน (ชาวบ้าน) ไปสร้างมูลค่าให้ Cryptocurrency ได้
หลังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ มีมติอนุมัติการจัดตั้งกองทุน Spot Bitcoin ETF แล้ว ซึ่งเป็นการจัดตั้งครั้งแรกในในประวัติศาสตร์ ก็มีสถาบันกองทุนเปิดกองทุน ETF Bitcoin นี้แล้วจำนวนถึง 11 ราย
โดยนักวิเคราะห์ของ Standard Chartered คาดว่า Bitcoin ETF จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินเข้ามาในตลาดคริปโทได้ 50,000 – 100,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้เพียงปีเดียว และสามารถผลักดันราคา Bitcoin ไประดับ 10,000 ดอลล่าห์