X
19 กุมภาพันธ์ 1997  “เติ้งเสี่ยวผิง” มหาบุรุษผู้สร้างจีนใหม่ ถึงแก่อสัญกรรม

19 กุมภาพันธ์ 1997 “เติ้งเสี่ยวผิง” มหาบุรุษผู้สร้างจีนใหม่ ถึงแก่อสัญกรรม

19 ก.พ. 2567
2720 views
ขนาดตัวอักษร

19 ก.พ. 67 - หากจะกล่าวถึงจีนในปัจจุบันที่เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ก่อนหน้านั้นจีนไม่ได้มีศักยภาพได้ขนาดนี้ แต่เพราะอดีตผู้นำ รัฐบุรุษที่แปรสภาพจากประเทศที่ยากจน ให้พลิกฟื้นกลายเป็นมหาอำนาจโลกอีกครั้ง โดยเฉพาะปีนี้ครบรอบ 27 ปี การถึงแก่อสัญกรรมของท่าน “เติ้งเสี่ยวผิง” 


เติ้งเสี่ยวผิง เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 1904 เกิดก่อนการปฏิวัติซินไฮ่และราชวงศ์ชิงล่มสลาย 7 ปี ที่เมืองกว่างอัน มณฑลเสฉวน เดิมมีชื่อว่า เติ้งเซียนเซิ่ง เป็นบุตรชายคนโตของ เติ้งเหวินหมิง ชนชั้นกลางในเมืองที่ได้รับการศึกษษในระดับมหาวิทยาลัย แต่มารดาเสียชีวิตขนาดเติ้งยังเล็กอยู่ โดยที่เติ้งมีน้องชาย 3 คน พี่สาว 1 คน และน้องสาว 2 คน โดยเติ้งได้รับการศึกษาอย่างดีจนถึงมัธยมปลายที่โรงเรียนในมณฑลเสฉวน


และเมื่อตอนอายุ 16 ปี เติ้งสอบได้ทุนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส ที่ซึ่งเขาได้กลายเป็นสาวกของลัทธิมาร์กซ์-เลนิน และเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ในปี 1924 โดยเติ้งเรียนที่ฝรั่งเศสและทำงานไปด้วยจนถึงอายุ 21 ปี ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กรุงมอสโก สหภาพโซเวียต และได้เดินทางกลับไปยังจีนในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1927 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับพรรคก๊กมินตั๋งตึงเครียด โดยเติ้งได้รับมอบหมายจากพรรคคอมมิวนิสต์ให้ทำงานในสถาบันการทหารและการเมืองซุนยัดเซ็น และได้กลายเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน  เมื่อความร่วมมือระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับพรรคก๊กมินตั๋งสิ้นสุดลง ทำให้เขาต้องเปลี่ยนชื่อเป็น เติ้งเสี่ยวผิง เพื่อปกปิดชื่อจริง และได้กลายเป็นเลขาธิการใหญ่ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1934 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามกลางเมืองจีนระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์นำโดยเหมาเจ๋อตุงและพรรคก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค เติ้งมีส่วนสำคัญในด้านการทหารและการเมือง เขาเป็นผู้ที่สนับสนุนแนวคิดของเหมาว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนควรใช้ยุทธวิธีป่าล้อมเมืองมากกว่าการใช้ยุทธวิธีเมืองเป็นศูนย์กลางเนื่องจากจีนตอนนั้นยังเป็นประเทศเกษตรกรรมคนที่ถูกกดขี่ไม่ใช่ชนชั้นใช้แรงงานในเมืองแบบโซเวียต การปฏิวัติโดยใช้กรรมาชีพในเมืองเป็นปฎิกิริยาแบบโซเวียตจึงใช้ไม่ได้กับจีน  จากแนวคิดนี้จึงทำให้เกิดการเดินทางไกลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เรียกภาษาจีนว่า ฉางเกิง หรือ Long March ที่เป็นการเดินทางไกลกว่า 25,000 ลี้ หรือ 10,000 กิโลเมตรเพื่อหลบหนีพรรคก๊กมินตั๋งและหาแนวร่วมเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ จนสุดท้ายพรรคคอมนิวนิสต์จีนก็สามารถเอาชนะพรรคก๊กมินตั๋ง ส่งเจียงไคเช็คหลบหนีไปอยู่เกาะไต้หวันได้สำเร็จในปี 1949 


หลังเหมาเจ๋อตุงสามารถครองจีนแผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จในปี 1949 เหมาใช้นโยบายก้าวกระโดดไกล Great Leap Forward ในการพยายามพัฒนาเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่ให้ทัดเทียมชาติตะวันตก ทั้งการประกาศสงครามกับนกกระจอก การผลิตเหล็กให้ได้มากที่สุดในโลก การสร้างคอมมูนออกสู่ชนบทเพื่อเพิ่มผลผลิตให้ได้มากที่สุด สุดท้ายแล้วผลของนโยบายกลับเลวร้ายเกินคาด การฆ่านกกระจอกทำให้เกิดศัตรูพืชอย่างแมลงแพร่พันธ์จนทำลายผลผลิตทางการเกษตร การเพิ่มการผลิตเหล็กสามารถผลิตเหล็กแซงสหรัฐอเมริกาได้ก็จริง แต่เหล็กที่ผลิตออกมาไม่ได้คุณภาพเนื่องจากชาวบ้านเอาเหล็กจากสิ่งต่าง ๆ เช่น พลั่ว กระทะ แม้กระทั่งพระพุทธรูปมาหล่อ ไม่ใช่เหล็กบริสุทธิ์ทำให้เหล็กเหล่านั้นไร้คุณภาพ ผลของนโยบายทำให้คนอดอยากเสียชีวิตกว่า 30 ล้านคน 

เหมาจึงอยู่ไม่ได้และต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1958 พร้อมทั้งที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ให้ทายาททางการเมืองของเขาอย่างหลิวเส้าฉีนั่งตำแหน่งประธานาธิบดีแทน พร้อมทั้งหลิวเส้าฉียังได้นำเติ้งเสี่ยวผิงมานั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีดูแลเรื่องเศรษฐกิจอีกด้วย หลิวเซ่าฉี ที่เป็นประธานาธิบดีแทนเหมา เขากับเติ้งเสี่ยวผิงแสดงความสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจเนื่องจากความล้มเหลวของนโยบายก้าวกระโดดไกล โดยอนุญาตให้เอกชนดำเนินธุรกิจขนาดเล็ก ส่งการการผลิตและแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยการเปิดตลาดนัดในชนบท การดูแลด้านการแลกเปลี่ยนทางด้านการเงินกับต่างประเทศ เช่นเดียวกับการลงทุนเพื่อให้เงินสะพัดไปลงชนบท ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วช่วยให้เศรษฐกิจจีนที่พังพินาศเริ่มกลับมา 


แต่สิ่งเหล่านี้สร้างความอิจฉาให้กับเหมาอย่างมาก จึงทำให้เหมาวิพากษ์แนวคิดของหลิว – เติ้งอย่างแรงว่าเป็นแนวคิดของพวกทุนนิยม และลัทธิแก้ (ลัทธิแก้เป็นคำของพรรคคอมมิวนิสต์ใช้กล่าวหาอีกฝ่ายว่าฝักไฝ่ทุนนิยม) เหมาจึงเริ่ม “การปฏิวัติวัฒนธรรม” เพื่อรักษาอุดมการณ์การปฏิวัติไม่ให้กลายเป็นลัทธิแก้  กำจัดศัตรูทางการเมือง ทำลาย 4 เก่า ความคิดเก่า, วัฒนธรรมเก่า, นิสัยเก่า, ประเพณีเก่า ที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติ 


โดยมีเจียงชิง ภรรยาคนสุดท้องของเหมาเป็นคนสำคัญร่วมกับหลินเปียวผู้ที่อยากขึ้นมามีอำนาจแทนหลิวเส้าฉี และจัดสร้างสรรพนิพนต์เหมาเจ๋อตุงเพื่อเอาใจเหมา โดยสรรพนิพนต์เหมานี้เองเป็นสิ่งที่เจียงชิงนำเอามาล้างสมองเหล่าคนหนุ่มสาวให้เชื่อฟังในเหมาเพียงผู้เดียว และทำลายศัตรูของเหมาทุกคน ซึ่งก็คือกลุ่มของ หลิว - เติ้ง นั่นเอง 

สุดท้ายหลิวเส้าฉีก็ถูกเหล่าเรดการ์ดที่นำโดยเจียงชิง และเพื่อน ๆ ของนาง ที่รวมเรียกว่าแก็งสี่คน บุกเข้าไปจับตัวและนำมาประจานหาว่าเป็นผู้ฝักไฝ่ในตะวันตกทุนนิยม พร้อมกับนำตัวไปทรมานโดยกลุ่มเรดการ์ดพร้อมภรรยาจนเสียชีวิตในปี 1967 เติ้งเสี่ยวผิงประสบชะตากรรมที่ดีกว่าหน่อย ถูกให้ไปใช้แรงงานในชนบท แต่อย่างไรก็ตามลูกชายของเขาถูกทรมานจนร่างกายท่อนล่างเป็นอัมพาตโดยกลุ่มเรดการ์ด 

หลังจากการแตกกันของเหมาและหลินเปียว จนหลินเปียวนั้นพยายามจะปฏิวัติไม่สำเร็จและหลบหนีไปโซเวียตและเครื่องบินตกในมองโกเลีย และเศรษฐกิจจีนในยุคปฎิวัติวันธรรมนั้นล้มเหลวถึงขีดสุด เหมาจึงคิดถึงเติ้งเสี่ยวผิงอีกครั้ง เติ้งจึงกลับมาในเส้นทางของอำนาจอีกรอบในปี 1973 โดยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีแห่งคณะมุขมนตรี และในต้นปี 1975 เติ้ง เสี่ยวผิงได้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่หนึ่งแห่งคณะมุขมนตรี รองประธานคณะกรรมการทหารกลางควบตำแหน่งเสนาธิการทหารร่วม โดยทำงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสัมพันธไมตรีร่วมกับประเทศที่เคยเป็นศัตรูอย่างสหรัฐอเมริกาและไทย ร่วมกับนายกรัฐมนตรีอย่างโจวเอินไหลอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตามในปี 1976 กลุ่มแก็งสี่คนนำโดยเจียงชิงที่มีปัญหากับเติ้งและโจวเอินไหลตลอดมา ก็สามารถผลักเติ้งเสี่ยวผิงลงจากตำแหน่งได้อีกครั้ง พร้อมกับการถึงแก่อสัญกรรมของโจวเอินไหล ในปี 1976  

เช่นเดียวกับโจวเอินไหล เหมาเจ๋อตุงก็ถึงแก่อสัญกรรมในปี 1976 เช่นกัน การถึงแก่อสัญกรรมของเหมา ทำให้เจียงชิงและแก็งสี่คนหมดที่พึ่ง การปฎิวัติวัฒนธรรมตลอด 10 ปี 1966 – 1976  มีคนตายไปหลายล้านคน ทั้งความอดอยากและการถูกทรมาน แม้ว่าแก็งสี่คนจะมีคนหนุนหลังอย่างทายาทและประธานาธิบดีจีนในตอนนั้นอย่างฮว่า กั๋วเฟิง แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่เหมาไม่สามารถครองใจคนได้ แก็งสี่คนจึงถูกเติ้งเสี่ยวผิงและแม้ทัพอย่างนายพลเย่ เจี้ยนอิง โค่นล้มและจับกุมเจียงชิงและแก็งสี่คนได้ สิ้นสุดปฎิวัติวัฒนธรรมในวันที่ 6 ตุลาคม 1976 ไม่กี่เดือนหลังเหมาถึงแก่อสัญกรรม

หลังฮว่า กั๋วเฟิง หมดวาระในฐานะประธานาธิบดีและเลขาธิการกลางพรรคอมมิวนิสต์ในปี 1978 เติ้งเสี่ยวผิงจึงขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ในปีนั้น และอยู่ในฐานะผู้นำที่มีอำนาจจริง ๆ รุ่นที่ 2 โดยเขาเริ่มสร้างนโยบายแรกคือการกำจัดความวุ่นวายและเข้าสู่ภาวะปกติ นั่นคือกำจัดกลุ่มเรดการ์ดที่เหลือและกระชับอำนาจของตนเอง ต่อมาเขาจึงสร้างนโยบายที่กลายเป็นสุดยอดนโยบายที่สร้างจีนให้กลายเป็นมหาอำนาจจริง ๆ นั่นคือ นโยบายสี่ทันสมัย หนึ่ง คืออุตสาหกรรมทันสมัย เข้าร่วมระบบเศรษฐกิจโลก นโยบายเปิดประตูสำหรับนักลงทุนภายนอกโดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป การเติบโตทางเศรษฐกิจ จากการส่งออก สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ ลดบทบาทของรัฐวิสาหกิจ เพิ่มความสำคัญแก่ตลาดและวิสาหกิจ ที่ไม่ใช่ของรัฐ สร้างวิสาหกิจในระดับหมู่บ้านและเมือง สองการเกษตรทันสมัยเลิกระบบคอมมูน สร้างระบบครอบครัว รับผิดชอบ ใช้เทคโนโลยีทันสมัยเพิ่มผลผลิตต่อหน่วย เปิดให้เกษตรกรสามารถเช่าที่ดินระยะยาว 50 ปี สามวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทันสมัย การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้วยประการต่างๆ ออกกฎหมายสิทธิบัตร ตั้งเป้าให้จีนมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเทียบเท่าระดับโลก สามการทหารทันสมัย ทำให้การทหารเป็นเชิงอาชีพ ไม่ใช่ทหารแดงแบบเดิม เพิ่มค่าตอบแทนแก่ทหารให้ใกล้เคียงกับพลเรือน ปรับการจัดตั้งและการบังคับบัญชาใหม่ให้เป็นเอกภาพ และบูรณาการเข้าด้วยกัน โดยเป็นการสร้างนโยบายนี้ในปี 1978

จึงนับได้ว่าปี 1978 นั้น เติ้งได้เปิดประเทศจีนอีกครั้ง เพื่อนำทุนนิยมเข้ามาปฎิรูปเศรษฐกิจจีน เป็นหมุดหมายแรกในการสร้างจีนให้เป็นมหาอำนาจ โดยเฉพาะแนวคิดของเติ้งที่ว่า “แมวสีใดก็ได้ ของให้จับหนูได้” ซึ่งมีการกล่าวกันว่าเป็นสุภาษิตจีนโบราณของแถบเสฉวน ที่จอมพลจูเต๋อมักพูดอยู่บ่อย ๆ และเติ้งก็ได้นำมันมาใช้จริง โดยเป็นการที่จีนไม่เน้นในเรื่องเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์อีกแล้ว (แม้การเมืองจะยังคงใช้แนวคิดแบบคอมมิวนิสต์รวมศูนย์อำนาจอยู่) แต่เปิดรับทุนนิยมเต็มที่ และเปิดรับวิทยาการของตะวันตกเต็มที่ เช่นเดียวกับการเปิดรับทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศจีนโดยการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในฝั่งตะวันออกของจีน ซึ่งด้วยแรงงานราคาถูกทำให้จีนกลายเป็นโรงงานโลกในที่สุด เช่นเดียวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วย


นอกจากนั้นยังใช้แนวทางหนึ่งประเทศสองระบบในแนวคิดจีนเดียว กับฮ่องกงและไต้หวัน โดยแม้เติ้งจะบอกว่าเกษียณตัวเองในปี 1989 แต่อย่างไรก็ตามเขายังมีอำนาจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินที่เขาก็เข้าไปจัดการอย่างเด็ดขาด 

โดยงานสุดท้ายของเติ้งคือการเจรจากับสหราชอาณาจักรในตอนนั้นที่นำโดยนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กอย่างมากาเร็ต แทชเชอร์ ในเรื่องของเกาะฮ่องกง ที่สหราชอาณาจักรนั้นยึดพื้นที่และขอเช่าพื้นที่บางส่วนยาวนานถึง 99 ปี ตั้งแต่จีนแพ้สงครามฝิ่นในสมัยราชวงศ์ชิง ในปี 1898 เติ้งเสี่ยวผิงแสดงความแข็งแกร่งโดยการไม่ยอมต่อทางการสหราชอาณาจักรที่จะขอเช่าต่อพื้นที่ฮ่องกงไปอีก 99 ปี พร้อมทั้งแสดงความพร้อมที่จะปกครองฮ่องกงเอง สุดท้ายทางการสหราชอาณาจักรต้องถอนตัวจากฮ่องกงในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 แม้ว่าอังกฤษเองจะพึ่งชนะอาเจนตินาในสงครามหมู่เกาฟอร์คแลนด์ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เติ้งเสี่ยวผิงไม่ทันได้อยู่ดูการกลับมาของฮ่องกงสู่อ้อมอกของจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากท่านถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1997 เพียง 5 เดือนก่อนเท่านั้น 


สำหรับเติ้งเสี่ยวผิงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำสูงสุดรุ่นที่ 2 ที่ได้รับการยอมรับแต่เขาไม่เคยขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีนแต่อย่างใด ซึ่งในช่วงที่เขาเป็นผู้นำสูงสุด ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของเขาคือ ประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีนตั้งแต่ปี 1978-1983 และประธานคณะกรรมาธิการการทหารของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ปี 1983-1990

สำหรับประเทศไทยกับเติ้งเสี่ยวผิง มีสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี โดยในตอนที่ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศไทย ไปเปิดสัมพันธไมตรีกับสาธารณประชาชนจีนในปี 1975 เติ้งเสี่ยวผิงในฐานะรองนายกก็เป็นคณะที่เข้ามาเจรจาด้วย เช่นเดียวกับหลังจากขึ้นสู่อำนาจ เติ้งได้เยือนประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไทยก็เป็นประเทศแรกที่เติ้งได้มาเยือน ก่อนที่จะไปยังสิงคโปร์ และมาเลเซีย ในปี 1978 เติ้ง เสี่ยวผิง รองนายกรัฐมนตรีจีน เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 5-11 พ.ย. พ.ศ.1978 ในการนี้พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เติ้ง เสี่ยวผิงเข้าเฝ้า และระหว่างที่เยือนประเทศไทย 5 วัน เติ้งได้สนทนากับพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และยังได้ทรงเชิญผู้นำเติ้งเข้าร่วมพระราชพิธีผนวชพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฎราชกุมาร ในวันที่ 6 พ.ย. 1978 อีกด้วย โดยเติ้งได้ตอบรับคำเชิญ และเป็นผู้นำคนหนึ่งที่ได้ถวายผ้าไตรอีกด้วย


 

และในช่วงปี 1979 หลังจากเวียดนามเหนือ ชนะสงครามเวียดนาม เวียดนามที่มีโซเวียตหนุนหลังพยายามเข้ามามีบทบาทในกัมพูชาโดยการยกกำลังกว่าแสนนายเข้ามาในกัมพูชาและบริเวณชายแดนไทย ด้วยข้ออ้างของเวียดนามว่าจะเข้ามาจัดการเขมรแดง จีนนำโดยเติ้งเสี่ยวผิงจึงประกาศสงครามกับเวียดนามบริเวณทางตอนเหนือของเวียดนามที่เป็นรอยต่อกับจีน ทำให้เวียดนามต้องถอนทหารส่วนใหญ่ที่อยู่บริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทยเข้าไปรับมือกับจีนและเวียดนามต้องคงกองกำลังส่วนใหญ่ไว้บริเวณตอนเหนือตลอดจนจบสงครามเย็น จีนเรียกสงครามครั้งนี้ว่าสงครามสั่งสอน 


นี่คือส่วนหนึ่งของชีวิตผู้นำรุ่นที่ 2 ของจีนที่ทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจจนปัจจุบัน โดยเฉพาะวาทะอมตะอย่าง “แมวสีใดก็ได้ ขอให้จับหนูได้” สร้างให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจวบจนถึงปัจจุบัน




อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย
Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)