X
ไขข้อสงสัย? OTT กับ IPTV ต่างกันอย่างไร?

ไขข้อสงสัย? OTT กับ IPTV ต่างกันอย่างไร?

19 ก.พ. 2568
3410 views
ขนาดตัวอักษร

19 ก.พ.68 - OTT กับ IPTV ต่างกันอย่างไร? นักวิชาการไขข้อสงสัย พร้อมชี้ประเด็นข้อกฎหมาย Must Carry


เทคโนโลยี OTT (Over-the-Top) และ IPTV (Internet Protocol Television) นั้นเป็นบริการรับชมเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่ของการเข้าถึง เทคโนโลยี และข้อกำหนดด้านกฎหมาย โดย “OTT เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการใดก็ได้ โดยผู้ใช้บริการเพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น OTT” ได้จากทั้ง App Store และ Android App เช่น Netflix, Disney Plus หรือ True ID หรือใช้อินเตอร์เน็ตเข้าไปยังเวบไซต์ของผู้ให้บริการ OTT 

ขณะที่ “IPTV เป็นบริการที่ต้องสมัครสมาชิก โดยต้องใช้อินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเฉพาะ” พร้อมกล่องรับสัญญาณที่สามารถควบคุมคุณภาพสัญญาณได้ ประเด็นเกี่ยวกับแนวทางกำกับดูแล และเงื่อนไขด้าน Must Carry ของ กสทช. กำลังเป็นที่ถกเถียงในอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคม


“OTT และ IPTV” ต่างกันอย่างไร?

นายสืบศักดิ์ สืบภักดี นักวิชาการด้านโทรคมนาคม กรรมการบริหารและเลขาธิการสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อธิบายว่า OTT เป็นบริการที่ให้ผู้ใช้เข้าถึงเนื้อหาผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือแพลตฟอร์มดิจิทัลโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องใช้กล่องรับสัญญาณของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแต่ละราย ผู้ใช้สามารถใช้งานได้จากทุกเครือข่าย เช่น การรับชมวิดีโอผ่านแอปสตรีมมิ่งยอดนิยม หรือเว็บไซต์ที่เปิดให้รับชมเนื้อหาออนไลน์ ซึ่ง กสทช. ไม่มีหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ OTT เช่น YouTube, Netflix, Disney Plus หรือ True ID ต้องมาขอรับอนุญาต

ในขณะที่ IPTV เป็นบริการที่ต้องเข้าถึงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเฉพาะของผู้ให้บริการ (Close Network) ซึ่งมักมาพร้อมกับกล่องรับสัญญาณที่ช่วยควบคุมคุณภาพของบริการ ตัวอย่างเช่น บริการโทรทัศน์ผ่านกล่องที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบางรายจัดทำขึ้น ซึ่ง กสทช. ได้กำหนดให้ผู้ให้บริการ IPTV ในลักษณะดังกล่าวต้องมาขอรับใบอนุญาต

• 

ยังเข้าใจผิดและสับสนว่าทำไม Must Carry ไม่ใช้กับ OTT

นายสืบศักดิ์ อธิบายว่า กสทช. กำหนดให้การเผยแพร่เนื้อหาทางโทรทัศน์ต้องดำเนินการผ่านโครงข่ายที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น เช่น โครงข่าย PayTV (เคเบิล ดาวเทียม IPTV) หากไม่มีใบอนุญาต อาจถือเป็นการให้บริการที่ผิดกฎหมาย. หมายความว่าหากธุรกิจเคเบิล ดาวเทียม IPTV ซึ่ง กสทช. มีหลักเกณฑ์กำหนดให้ต้องมาขอรับใบอนุญาตจาก กสทช. แล้ว แต่ฝ่าฝืนไม่มาขอรับใบอนุญาตนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ก็ยังจะไม่สามารถเผยแพร่ช่องฟรีทีวีได้ (ห้าม Must Carry) เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดกรณีเคเบิ้ลทีวีเถื่อนที่ไม่มาขอรับใบอนุญาต

อย่างไรก็ตาม กสทช. ไม่มีหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ OTT เช่น YouTube, Netflix, Disney Plus หรือ True ID ต้องมาขอรับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. เหมือนเช่น IPTV ดังนั้น ผู้ให้บริการ OTT จึงสามารถนำคอนเทนต์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงช่องฟรีทีวีมาเผยแพร่บนแพลตฟอร์มของตนได้โดยไม่ผิดกฎหมายใดๆ

นายสืบศักดิ์ กล่าวอีกว่า หากมีการตีความว่าช่องโทรทัศน์ภาคพื้นดินสามารถเผยแพร่เนื้อหาได้เฉพาะบนโครงข่ายที่ได้รับอนุญาต ซึ่งตีความรวมไปถึงทุกธุรกิจ แม้ กสทช. จะไม่มีการออกหลักเกณฑ์มากำกับควบคุมแล้ว อาจเป็นการจำกัดสิทธิของเจ้าของช่องในการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อกระจายเนื้อหาสู่ผู้ชมและเป็นการจำกัดสิทธิของผู้บริโภคที่เลือกที่จะรับชมผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น การดูทีวีผ่านแอพบนมือถือ ที่ตอนนี้เป็นการรับชมที่แพร่หลายมากกว่าและสะดวกกับผู้ใช้บริการมากกว่า

 

ข้อถกเถียงเรื่องการกำกับดูแล

นายสืบศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า การให้บริการ OTT เป็นบริการที่เป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ และมีการให้บริการอย่างแพร่หลายมานานในทุกประเทศทั่วโลก นอกจากนั้น หลายประเทศได้ออกกฎหมายมาสนับสนุน OTT ที่เป็น Start up ของประเทศนั้นเพื่อให้สามารถเติบโตและพัฒนาคอนเทนต์ที่ตอบสนองและเป็นประโยชน์กับประเทศของตน

“ที่ผ่านมา กสทช. และที่ปรึกษาได้พิจารณาเรื่องนี้ และยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมว่าการกำกับดูแลควรดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย”


สรุป: การกำกับดูแลควรพิจารณาความแตกต่างของบริการ

OTT และ IPTV มีโครงสร้างการให้บริการที่แตกต่างกัน IPTV อยู่ภายใต้ข้อกำหนดด้านใบอนุญาต ขณะที่ OTT ยังคงเป็นบริการที่ไม่มีข้อกำหนดเฉพาะด้านการกำกับดูแล นักวิชาการเสนอว่าการกำกับดูแลควรต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมและการเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมในอนาคต

อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย
Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)