จากการที่ รมว.แรงงาน ออกมายอมรับว่ากองทุนประกันสังคมเสี่ยงเข้าสู่ภาวะล้มละลายในอีกราว 30 ปีข้างหน้า เราเลยขอพาไปดูว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ทั้งที่กองทุนประกันสังคมมีเงินในกองทุนอยู่ราว 2.3 ล้านล้านบาท แล้วเงินที่มีการจ่ายสมทบไปแต่ละเดือนไปไหนบ้าง
กองทุนประกันสังคม (Social Security Fund) เป็นกองทุนที่รัฐบาลไทยจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้แก่ลูกจ้างที่มีรายได้ในประเทศ ใช้บังคับกับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ซึ่งนายจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฝ่ายละเท่าๆ กัน โดยเงินสมทบที่ได้มาจะถูกนำไปจัดตั้งเป็นกองทุนและจ่ายเป็นผลประโยชน์ทดแทนหรือให้ความคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาลและมีการทดแทนรายได้อย่างต่อเนื่อง
โดยเงินที่จ่ายเข้ากองทุน จะมีการหักเบี้ยประกันในเงินเดือนเราทุกๆเดือนที่ 5% จากฐานเงินเดือน ต่ำสุดเดือนละ 83 บาท (ฐานเงินเดือน 1,650 บาท) และสูงสุดไม่เกินเดือนละ 750 บาท (ฐานเงินเดือน 15,000 บาท)
ส่วนที่ 2 นายจ้างส่งเบี้ยประกันทบอีก 5% เข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน ตามข้อกำหนดของประกันสังคม
ส่วนที่ 3 รัฐบาลออกเงินสมทบ 2.75% เข้ากองทุนด้วยอีกส่วนหนึ่ง
เงินประกันสังคม จ่ายแล้วไปไหน? (หากอ้างอิงตามฐานหักเงินสมทบที่ 750 บาทต่อเดือน)
ส่วนที่ 1 แบ่งเงิน 225 บาท ไปไว้เงินส่วนกลางสำหรับสิทธิประโยชน์ได้ ในกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตรและเสียชีวิต
ส่วนที่ 2 แบ่งเงิน 75 บาท สำหรับสำรองไว้กรณีว่างงานหรือถูกเลิกจ้าง ก็จะได้รับเงินชดเชยส่วนนี้มาใช้ในระหว่างที่หางานใหม่
ส่วนที่ 3 แบ่งเงิน 450 บาท สำหรับการออมเพื่อการเกษียณ ที่จะถูกนำไปสะสมเพื่อรอจ่ายเป็นเงินบำเหน็จหรือบำนาญเมื่อเราอายุครบ 55 ปีขึ้นไป ถ้าจ่ายครบ 180 เดือน (ไม่จำเป็นต้องส่งต่อเนื่องกัน) จะได้รับเงินบำนาญ ส่วนถ้าส่งไม่ครบ 180 เดือน จะได้รับเป็นบำเหน็จ ซึ่งไม่สามารถเลือกได้เองว่าจะรับแบบไหน ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการส่งเงินสมทบของเรา
โดย เงิน 2ส่วนแรกจะถูกจัดไปอยู่ในเงินส่วนกลางหรือถ้าอธิบายง่ายๆ คือถ้าไม่ใช้สิทธิ์ก็จะไม่ได้เงินในส่วนนี้คืน หรือเรียกสั้น ๆ ว่าเป็นการ "เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข"
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เงินกองทุนประกันสังคมที่มีเงินสะสมเมื่อปี2566 อยู่ราว 2.3 ล้านล้านบาท และมีผู้ประกันตนอยู่ราว 24.51 ล้านคน มีความเสี่ยง อ้างอิงจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ ศาสตราจารย์ ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคม ทีดีอาร์ไอ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อกรกฎาคม2566 เกี่ยวกับเรื่องนี้ ความตอนหนึ่งระบุว่า
ที่ผ่านมามีงานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าในอนาคตจะเกิดความเสี่ยงว่าเงินในกองทุนประกันสังคมจะไม่พอจ่ายให้กับผู้ประกันตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเงินชราภาพ
มีงานวิจัยหลายชิ้น และหลายสถาบันฯ รวมไปถึงงานวิจัยของทีดีอาร์ไอเอง ก็เคยคำนวณออกมาแล้วว่าจะเงินกองทุนจะไม่พอจ่ายในอนาคต แม้แต่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เองก็ทราบปัญหานี้ดี สปส.เองก็มีการคำนวณ ทราบถึงประเด็นปัญหาว่าถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ไม่ทำอะไรกองทุนฯ จะมีเงินไม่เพียงพอต่อการจ่ายบำนาญ คนไทยอายุยืนยาวขึ้น รับเงินบำนาญได้นาน ดังนั้น เมื่อรับทราบปัญหาจะต้องมีการวางแนวทางเพื่อแก้ปัญหาที่เรามองเห็นว่าจะเกิดในอนาคต ซึ่งการพัฒนาให้ดีขึ้นทำได้หลายหนทาง ทั้งการบริหารจัดการให้ค่าใช้จ่ายต่ำลง ทำให้ประหยัดได้ก็ช่วยชะลอเงินสะสมในกองทุนให้หมดช้าลงได้
“ไทยเป็นสังคมสูงวัย มีแนวโน้มที่วัยแรงงานจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันคนอายุยืนมากขึ้น ประกันสังคมต้องจ่ายสิทธิประโยชน์ให้กับแรงงานวัยเกษียณมากขึ้น เหมือนกับว่ารับเข้ากระเป๋าน้อย แต่ต้องควักจ่ายมากขึ้นทุกวัน ควรจะมีการปรับโครงสร้างอะไรเพื่อรับมือกับสังคมสูงวัยหรือไม่”
ในขณะเดียวกันก็จะต้องไปเร่งรัดเก็บเงินสมทบค้างจ่ายให้กับประกันสังคมในแต่ละปีที่ไม่มีการสมทบเข้ามาในกองทุน ซึ่งเป็นเงินจำนวนที่สูงมากถึง 6-7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ถ้ามีการนำไปลงทุน ก็จะทำให้เกิดรายได้เข้ามา แต่พอมาค้างจ่ายแบบนี้ทำให้รายได้ของสำนักงานประกันสังคมหายไป ประมาณปีละ 2 พันล้านบาท ซึ่งคนที่ค้างจ่ายหลักๆ เลยคือภาครัฐนั่นเอง ไม่ใช่นายจ้างเพราะถ้านายจ้างค้างจ่ายเขาจะต้องถูกปรับร้อยละ 2 ต่อเดือน แต่รัฐค้างจ่ายก็ไม่ได้ถูกปรับแต่อย่างใด เพราะไม่มีความผิดใดๆ ทางกฎหมาย ฉะนั้นเราควรคิดค่าปรับกับภาครัฐด้วยเหมือนกับนายจ้างจะได้ไม่ค้างจ่าย ซึ่งตรงนี้ถ้าเกิดว่ามีการบริหารจัดการที่ดีได้เงินกลับเข้ามาที่กองทุนแล้วก็ลงทุนมันก็มีผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำอันนี้ก็ลดการรั่วไหลลงไปอีก
สำหรับในส่วนของการแก้ไขปัญหา ทางคณะกรรมการ สปส. ชุดปัจจุบัน มีความเห็นว่า ควรขยายเพดานการจัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุน จากเพดานปัจจุบันอยู่ที่ 15,000 บาท ไปถึง 20,000 บาท รวมถึงขยายอายุการเกษียณจาก 55 ปี เป็น 60 ปี เพื่อให้เป็นการเริ่มจ่ายเงินบำนาญผู้สูงอายุช้าลง รวมทั้งเปลี่ยนอัตราการลงทุนจากในสินทรัพย์จากอัตรา 60 ต่อ 40 แต่ในปีนี้อยากให้ขยายมาเป็น 75 ต่อ 25 ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถยืดอายุของกองทุนได้ตามเป้าหมาย ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะมีการหารือกันในบอร์ดประกันสังคม ปลัดกระทรวงแรงงาน และหารือร่วมกับกรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน (กสร.) และจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภาต่อไป
ทั้งนี้คงต้องมาเอาใจช่วย ทางคณะกรรมการ สปส. และรัฐบาล ว่าจะสามารถแก้ปัญหาของกองทุนประกันสังคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่จะถึงนี้ ได้มากน้อยเพียงใด เพราะคงไม่มีใครอยากเห็นเหตุการณ์ที่กองทุนนี้ล้มละลายอย่างแน่นอน