X
TDRI เปิดความท้าทายครม.ใหม่

TDRI เปิดความท้าทายครม.ใหม่

12 ก.ย. 2568
40 views
ขนาดตัวอักษร

“ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์” เปิดความท้าทายครม.ใหม่ แนะลุยปรับโครงสร้าง แก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะยาวควบคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ เสนอตั้งกรอ.ย่อย 3ชุด เพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ชี้ไทยถูกจับตาลดเครดิตเรตติง เพราะภาระหนี้สาธารณะสูง แนะทบทวนนโยบายใช้งบมากแต่ไม่คุ้มค่า หวังว่าที่ขุนคลัง มีแผนหารายได้ชัด เรียกความเชื่อมั่นได้ พร้อมฝากโจทย์ รมต.คนนอกโชว์ฝีมือ ขณะเดียวกันเตือนรัฐบาลระวังอย่าให้เกิดเรื่องอื้อฉาว   

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มีข้อเสนอถึงการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ว่า นอกจากมาตรการระยะสั้น โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เห็นว่ารัฐบาลควรเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวควบคู่ไปด้วย ถึงแม้ว่าไม่ได้ทำให้ประชาชนเห็นผลงานได้ทันที แต่การปรับโครงสร้างเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศมีความสำคัญมากและรัฐบาลก็จะได้เครดิตในฐานะผู้ริเริ่ม ทั้งนี้การปรับโครงสร้างที่สามารถทำได้ทันที และเห็นผลได้ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจคือ การแก้กฎระเบียบการอนุมัติ-อนุญาตต่าง ๆ ซึ่งทีดีอาร์ไอ เคยศึกษาวิจัยแล้วพบว่า หากทำในเรื่องที่สำคัญ เช่น การเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าจะมีตัวคูณทางเศรษฐกิจมหาศาล และยังแก้ปัญหาโครงสร้างได้อีกทางหนึ่งด้วย

ชงรัฐบาลอนุทิน สร้างกลไกร่วมรัฐ-เอกชน มุ่งยกระดับขีดความสามารถแข่งขันของไทย

นอกจากนี้รัฐบาลควรสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนที่ทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ลักษณะเดียวกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) แต่การทำงานของกรอ.ในอดีตมุ่งเน้นในบางประเด็น และส่วนใหญ่เป็นปัญหาระยะสั้น จึงควรมีกรอ.ในรูปแบบที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยใน 3 ด้านผ่านกรอ.ชุดย่อย คือ 1. กรอ.ด้านกำลังคน โดยรัฐและเอกชนควรร่วมมือกันฝึกทักษะแรงงานให้คนไทยมีโอกาสทำงานที่ใช้ทักษะสูง ซึ่งจะทำให้มีรายได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าการลงทุนจำนวนหนึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นในประเทศได้ เพราะขาดแรงงานที่มีทักษะเพียงพอ กลไกรัฐร่วมเอกชนนี้จะทำหน้าที่นำความต้องการของภาคเอกชนมา เพื่อให้ภาครัฐฝึกกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยยึดโยงกับพื้นฐานข้อมูลจริงในตลาดแรงงาน ซึ่งทีม Big Data ทีดีอาร์ไอได้มีการสำรวจความต้องการจากเอกชนในทุกไตรมาส ทำให้พบปัญหากำลังคนที่ผลิตออกมาไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน 2. กรอ.ด้านนวัตกรรม ประเทศไทยประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าที่ราคาถูกกว่าได้ เช่นสินค้าจีน แม้ว่าการสร้างนวัตกรรมต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรริเริ่มทำให้เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ โดยเอาความต้องการของเอกชนเป็นตัวตั้ง และ 3. กรอ.ด้านกฎระเบียบ ทำหน้าที่ปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ โมเดลเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับแนวคิด Reinvent Thailand ที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และภาครัฐซึ่งประกอบด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ร่วมกันเสนอไปก่อนหน้านี้


เตือนสร้างสมดุลรายรับ-จ่าย ทบทวนนโยบายใช้เงินมากเห็นผลน้อย หวั่นภาระหนี้สาธารณะสูงทำไทยถูกลดเครดิตเรตติง  

ดร.สมเกียรติ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลควรทบทวนรายรับรายจ่ายภาครัฐให้สมดุลกัน เพราะที่ผ่านมาภาระหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจจะถูกลดเครดิตเรตติง ซึ่งจะเกิดผลกระทบตามมาหลายอย่าง เช่น เมื่อจะออกพันธบัตร รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แพงขึ้น และเป็นภาระต่อหนี้สาธารณะ เช่นเดียวกับภาคเอกชน หากจะออกตราสารหนี้ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย ดังนั้นรัฐบาลต้องทบทวนว่ารายจ่ายด้านใดที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยแต่ใช้เงินมาก และตัดลดงบประมาณในส่วนที่ไม่คุ้มค่าลง ขณะเดียวกันจะต้องมีแผนในการหารายได้ ซึ่งคาดหวังกับ รมว.คลังคนใหม่ คือดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่มีประสบการณ์การหารายได้ภาครัฐมาก่อน โดยเคยเป็นทั้งอธิบดีกรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต จึงน่าจะมีแนวทางในการหารายได้ที่ชัดเจน สามารถทำให้นักลงทุน และ Credit Rating Agency เชื่อมั่นได้ว่าประเทศไทยจะไม่สร้างที่หนี้สาธารณะสูงเกินไปจนถูกลดเครดิตเรตติง

เสียงตอบรับดีตั้ง “มืออาชีพ” นั่งรมต. เสนอแก้รธน. ปรับระบบเลือกตั้ง เอื้อนายกฯ เข้มแข็ง ดึงคนนอก ไฮโปรไฟล์ร่วมบริหารประเทศในอนาคต 


ดร.สมเกียรติ ยังกล่าวถึงโฉมหน้าครม.ชุดใหม่ ที่มีสัดส่วนคนนอกหลายคนว่า เป็นบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งจากภาคธุรกิจและภาคราชการที่จะมาช่วยบริหารประเทศและบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่ามีเสียงตอบรับที่ดีจากสังคม ในเวลาเดียวกันก็มีรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดและรู้ปัญหาประชาชน เพราะเป็นตัวแทนจากพรรคการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งมา เมื่อมาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ หรือเทคโนแครต รวมทั้งผู้บริหารภาคเอกชนถือเป็นจุดที่สร้างสมดุลที่ดีได้ แต่ก็มีความท้าทายในเรื่องของระยะเวลาการทำงานจำกัดเพียง 4 เดือนนี้

“อยากเห็นโมเดลในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคตจากการที่รัฐบาลดึงผู้มีประสบการณ์ที่มีความเชี่ยวชาญ เข้ามาบริหารประเทศ เพราะปัญหาประเทศจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการที่รัฐบาลอนุทินสามารถตั้งคนนอกได้จำนวนมาก เป็นผลมาจากการที่พรรคประชาชนยอมโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯ โดยไม่ขอรับเก้าอี้ในครม.ทำให้มีเก้าอี้รัฐมนตรีเหลือพอที่จะเชิญคนนอกเข้ามาได้ ในขณะเดียวกันนายกฯ ก็เล็งเห็นโอกาสในการสร้างผลงานจากรัฐมนตรีคนนอกเหล่านี้ อย่างไรก็ตามในภาวะปกติระบบการเมืองแบบรัฐสภาที่ประเทศไทยใช้อยู่ ประชาชนเลือกส.ส. และส.ส.ไปเลือกนายกฯ ในสภา การจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีจึงต้องจัดตามการเจรจาต่อรองตำแหน่งตามโควตาพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้นการนำคนนอกที่มีความสามารถเข้ามาจึงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะภายใต้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. ในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน จึงควรออกแบบกติกาให้ได้มืออาชีพที่เป็นบุคคลภายนอกเข้ามาทำหน้าที่รัฐมนตรีได้” ดร.สมเกียรติระบุ

ดร.สมเกียรติ กล่าวด้วยว่า เพื่อให้เกิดระบบที่จะได้ทั้งคนที่มีความสามารถ และคนที่ใกล้ชิดและรู้ปัญหาประชาชนควบคู่กันไป จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่มีข้อตกลงกันว่าจะแก้ในประเด็นต่าง ๆ อยู่แล้ว  ทั้งนี้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีระบบการเลือกตั้งที่ทำให้เกิดรัฐบาลผสมจากพรรคเล็กจำนวนมาก ทำให้นายกฯต้องเกรงใจพรรคเหล่านี้ ตลอดจนบ้านใหญ่และบรรดามุ้งต่าง ๆ  ในพรรคเพื่อรักษาเสียงในสภาให้เพียงพอ ดังนั้นควรยกเลิกระบบเลือกตั้งแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ที่ทำให้เกิด “พรรคปัดเศษ” จำนวนมาก เปลี่ยนไปสู่ระบบเลือกตั้งที่ทำให้เหลือพรรคการเมืองจำนวนไม่มาก เพื่อให้พรรคแกนนำรัฐบาลมีความรับผิดชอบต่อการบริหารประเทศมากขึ้น ไม่อ้างว่าทำนโยบายไม่สำเร็จเพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่ร่วมมือ ซึ่งจะทำให้มีแรงจูงใจในการใช้ผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น


นอกจากนี้ควรเพิ่มอำนาจนายกฯ โดยการลดอำนาจล้นเกินขององค์กรอิสระ เช่น อำนาจตีความในเรื่องจริยธรรม รวมถึงการที่รัฐธรรมนูญทำให้ยุบพรรคการเมืองได้ง่าย ซึ่งถือเป็นทำลายเจตจำนงทางการเมืองของประชาชน ดังนั้นการขยับโมเดลจากระบบที่ทำให้นายกฯอ่อนแอ และมีพรรคการเมืองหลายพรรค ไปสู่ระบบที่นายกฯเข้มแข็งมากขึ้นและมีพรรคการเมืองจำนวนลดลง การเมืองก็จะได้สมดุลที่ดีขึ้นระหว่างการได้คนที่ใกล้ชิดและเข้าใจประชาชนกับการได้คนมีความสามารถมาบริหารประเทศ ในขณะที่ได้รัฐบาลที่เข้มแข็ง


โจทย์ท้าทาย รมต.ป้ายแดง เสนอว่าที่รมว.พาณิชย์ ลุย FTA หาตลาดใหม่ให้สินค้าไทย รับมือสงครามการค้า คาดหวังรองนายกฯ กฎหมายผลักดันกม.สำคัญให้เดินต่อ


ดร.สมเกียรติ ยังฝากโจทย์ซึ่งเป็นความคาดหวังของสังคมไปถึงรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่า โจทย์หนึ่งที่สำคัญของว่าที่รมว.พาณิชย์ คือการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี โดยเฉพาะความตกลงการค้าเสรีฉบับใหญ่ที่ค้างอยู่ คือ FTA ไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งมีความสำคัญต่อการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และกระจายความเสี่ยงของไทยท่ามกลางการกีดการค้าโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา การทำ FTA นี้จึงมีความสำคัญ แต่ต้องยกระดับกองทุน FTA ให้สามารถช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบให้ปรับตัวได้จริง


ในส่วนของ ศ.ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านกฎหมาย อยากเห็นการผลักดันกฎหมายที่อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ของประชาชน การทำ “กิโยติน” กฎหมายที่ถ่วงการพัฒนาประเทศ ตลอดจนการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการอย่างแท้จริง ซึ่งศ.ดร.บวรศักดิ์ ได้พยายามผลักดันมาก่อน เมื่อได้มาดูแลด้านกฎหมาย จึงคาดหวังว่าจะสามารถผลักดันการดำเนินการให้สำเร็จได้ในเวลาที่จำกัด


แนะว่าที่รมว.พลังงงาน ดันตลาดไฟฟ้าเสรี หนุนว่าที่รมว.อุตฯ ลุยโรงงานไม่ได้มาตรฐาน 

ดร.สมเกียรติ ยังระบุด้วยว่า ในส่วนของว่าที่รมว.พลังงาน ประชาชนอยากเห็นการปฏิรูปการซื้อขายไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ ปัจจุบันบริษัทชั้นนำจำนวนมากอยากมาลงทุนในประเทศไทยแต่ยังติดเรื่องไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขาดแคลน เพราะไม่สามารถซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากตลาดไฟฟ้าได้ง่าย และบางบริษัทที่ลงทุนอยู่อาจถอนการลงทุนไปต่างประเทศ หากยังไม่สามารถซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้  ในเวลาเดียวกันหากภาครัฐทำให้เกิดการซื้อขายไฟฟ้าเสรีจะช่วยกระจายรายได้ให้ประชาชนได้อีกทางหนึ่งจากการขายไฟที่เหลือใช้จากโซลาร์บนหลังคาบ้านซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้  ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมนั้น อยากเห็นการตรวจมาตรฐานโรงงานจากนักลงทุนต่างชาติที่ผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐานมอก. และปล่อยมลพิษต่าง ๆ สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน ตลอดจนทำลายอุตสาหกรรมไทยจากการตัดราคาด้วยการผลักภาระสู่สังคม


ชี้โจทย์ใหญ่ รมว.บัวแก้ว ลดระดับความขัดแย้งเพื่อนบ้าน กระทบชาวบ้าน-ธุรกิจ 

ส่วนโจทย์ของกระทรวงต่างประเทศในด้านเศรษฐกิจ คือ การปรับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้กลับมาสูสภาวะปกติ ลดระดับความขัดแย้ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนไทยและธุรกิจที่พึ่งพาการค้า การลงทุนต่างประเทศได้กลับมาทำธุรกิจกันตามปกติ ในช่วงที่มีการปิดชายแดนซัพพลายเชนที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศไทยได้ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงว่า หากอยู่ในภาวะแบบนี้เป็นไปยาวนานอาจทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องในไทยพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ดังนั้นการลดความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นเรื่องที่สำคัญต่อยุทธศาสตร์ที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางของการผลิตในภูมิภาคตามแนวคิด “”ไทย+1” (Thailand Plus One)


“นอกเหนือไปจากการปรับโครงสร้าง และการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ข้อควรระวังของรัฐบาลชุดใหม่ คืออย่าให้เกิดเรื่องอื้อฉาวจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การเล่นพรรคเล่นพวก หรือการฝ่าฝืนกฎหมายของคนในรัฐบาลเอง เพราะต่อให้สร้างผลงานดีเพียงใด แต่ถ้ามีเรื่องอื้อฉาวเข้ามาก็ยากที่จะทำให้ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนได้” ดร.สมเกียรติกล่าวทิ้งท้าย


Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)