ประเทศไทยสนับสนุนการระบบการค้าการแข่งขันตลาดเสรีและเป็นธรรม ระบบการค้าน้ำมันของไทยจึงเป็นระบบค้าเสรี ผู้ผลิตน้ำมันสามารถนำเข้า-ส่งออก และกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นและขายปลีกได้ด้วยตนเอง โดยอ้างอิงกับราคาน้ำมันสำเร็จรูป ณ ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีการซื้อขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
แม้ประเทศไทยจะสามารถผลิตน้ำมันดิบได้เอง แต่ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ โดยผลิตได้ไม่ถึงร้อยละ 10 ของความต้องการ จึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่าร้อยละ 90 มากลั่นในประเทศ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจึงส่งผลกระทบต่อหน้าโรงกลั่นและราคาขายปลีกในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีการขึ้นลงตามความต้องการและอุปทานในตลาดโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ สงคราม การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ รวมถึงเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันและความต้องการใช้น้ำมัน ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น ราคาน้ำมันนำเข้าในประเทศราคาหน้าโรงกลั่น และราคาขายปลีกในประเทศจะสูงตามไปด้วย
ราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์นี้ มิใช่ราคาที่โรงกลั่นที่สิงคโปร์หรือหน่วยงานในสิงคโปร์เป็นคนกำหนด แต่เป็น “ราคาซื้อขายกลางในภูมิภาคนี้ ” เคลื่อนไหวตามอุปสงค์และอุปทานของตลาดน้ำมันโลก
สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันในเอเชีย ที่มีผู้ซื้อขายอยู่หลายร้อยราย ทำให้ราคานี้ถูกกำหนดโดยกลไกตลาด ปรับขึ้นลงตามต้นทุนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และสอดคล้องกับราคาน้ำมันในหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคนี้เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ซึ่งสามารถใช้เป็นราคากลางในการกำหนดราคาได้
นอกจากนี้ราคาตลาดสิงคโปร์ยังสะท้อนต้นทุนนำเข้าของไทยในระดับต่ำสุด เพราะว่าตลาดสิงคโปร์เป็นตลาดซื้อขายระหว่างประเทศที่เป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งอยู่ใกล้ไทยมากที่สุด ดังนั้น ต้นทุนในการนำเข้าจึงเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดที่โรงกลั่นไทยต้องแข่งขันด้วย
การใช้ตลาดสิงคโปร์ทำให้เกิดสมดุลในการผลิตและการจัดหาน้ำมันของไทย เนื่องจากไทยมีระบบการค้าน้ำมันเสรี สามารถนำเข้า-ส่งออก ได้อย่างเสรี หากไม่กำหนดราคาขึ้น-ลง ตามตลาดสิงคโปร์จะทำให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลในการผลิตและจัดหาของประเทศขึ้น กล่าวคือ หากไทยกำหนดราคาโดยรัฐเข้าไปควบคุมราคาของโรงกลั่น เมื่อใดที่ราคากำหนดต่ำกว่าราคาตลาดสิงคโปร์จะทำให้โรงกลั่นน้ำมันส่งออกไปขายที่ตลาดสิงคโปร์ เพราะจะได้ราคาสูงกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนในประเทศได้
ในทางกลับกัน เมื่อใดราคาสิงคโปร์ต่ำกว่าราคาที่กำหนดในประเทศ ผู้ค้าน้ำมันก็ไม่อยากซื้อจากโรงกลั่นในประเทศ หันไปนำเข้าจากสิงคโปร์ที่ราคาถูกกว่า ซึ่งทั้งสองกรณีจะทำให้เกิดการนำเข้า-ส่งออกโดยไม่จำเป็น ทำให้ประเทศต้องสูญเสียเงินตราต่างประเทศ
ดังนั้น ในหลาย ๆ ประเทศในเอเชียจึงใช้ราคาตลาดสิงคโปร์อ้างอิง ทั้งในการเจรจาซื้อ-ขาย น้ำมันระหว่างประเทศ และใช้เป็นฐานในการคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นและขายปลีกในประเทศ ส่วนการที่ราคาขายปลีกของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันนั้น ขึ้นอยู่กับระบบการจัดเก็บภาษีหรือการจ่ายเงินอุดหนุนของแต่ละประเทศ ดังนั้น การใช้ราคาน้ำมันตลาดสิงโปร์เป็นฐานในการคำนวณราคาน้ำมันในประเทศ จึงมีผลดีมากกว่าผลเสีย
สำหรับแนวคิดในการเปลี่ยนการกำหนดราคาเนื้อน้ำมันจาก อ้างอิงจากราคาตลาดสิงคโปร์ มาเป็นระบบ ”Cost-Plus” นั้น พบว่า มีจุดอ่อนอยู่หลายข้อ กล่าวคือ
การกำหนดราคาน้ำมันของไทยโดยอิงกับตลาดสิงคโปร์ จึงเป็นการกำหนดราคาที่มีประสิทธิภาพ ราคาต่ำสุด มีเสถียรภาพ และสะท้อนราคาในตลาดโลกอย่างแท้จริง ผู้บริโภค และธุรกิจต่าง ๆ ก็จะได้ประโยชน์จากราคานี้ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ
วีระพล จิรประดิษฐกุล : นักวิชาการด้านพลังงาน และอดีตผู้อำนวยการสำนักกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง