สภาผู้บริโภค นำโดย นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์
กรรมการนโยบายสัดส่วนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ยื่นหนังสือ ถึงกรรมกาน กสทช. ขอให้ชะลอประมูลคลื่นความถี่ หวั่นผลกระทบต่อผู้บริโภค
นางสาวสุภิญญา กล่าวว่า การประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้อาจกลายเป็นการประเคนผลประโยชน์ให้ผู้ให้บริการรายใหญ่จากการที่สภาผู้บริโภคยื่นหนังสือถึงกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอให้ตรวจสอบการประมูลคลื่นความถี่ ที่อาจเกิดการผูกขาดในอนาคต เมื่อ 6 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น
วันนี้ (12 มีนาคม 2568) สภาผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (คณะกรรมการ กสทช.) เพื่อคัดค้านการประมูลคลื่นความถี่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ
สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า สภาผู้บริโภคมีความกังวลอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของ กสทช ที่มีมติให้จัดประมูลคลื่นความถี่พร้อมกันถึง 6 ย่านความถี่ และทราบว่าในวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่ กสทช.จะมีการจัดประชุมประกาศหลักเกณฑ์การประมูลคลื่นความถี่ ดังนั้นสภาผู้บริโภคจึงมายื่นหนังสือคัดค้านก่อนการประชุมดังกล่าว เพื่อเรียกร้องให้ชะลอ พร้อมทบทวนหลักเกณฑ์เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
"การมายื่นคัดค้านถึง กสทช. เนื่องจากสภาผู้บริโภคมองว่าการประมูลครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมโดยเฉพาะเมื่อมีผู้เข้าร่วมประมูลเพียงสองรายหลักอีกทั้งการประมูลดังกล่าวไม่มีหลักประกันที่ชัดเจนว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพบริการราคา หรือความคุ้มครองจากภาครัฐ และอาจนำไปสู่การผูกขาดที่กระทบต่อผู้บริโภคในระยะยาว" นางสาวสุภิญญา กล่าว
ด้านนายอิฐบูรณ์ อันวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ให้ความเห็นว่าการประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่จะทำให้ได้รับผลประโยชน์อย่างมากขณะที่อนาคตของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ยังคงไม่แน่นอน ซึ่งทำให้เกิดคำถามที่สำคัญว่า กสทช. กำลังให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภคหรือกำลังช่วยเหลือกลุ่มนายทุน หรือไม่
"การออกหลักเกณฑ์การประมูลความถี่ดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับการประเคนมากกว่าการประมูลแข่งขัน
ซึ่งอาจสวนทางกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ กสทช.มีบทบาทในการจัดการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและประชาชนพร้อมทั้งสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของภาครัฐและความเป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการโดยมีเงื่อนไขการประมูลที่กระตุ้นการแข่งขันสภาองค์กรของผู้บริโภค
รวมถึงต้องมีมาตรการที่ชัดเจนในการคุ้มครองผู้บริโภคหลังการประมูลเพื่อประโยชน์ของประชาชนและผู้ใช้บริการในอนาคต" นายอิฐบูรณ์ กล่าว
เหตุหลักที่สภาผู้บริโภคเสนอให้มีการชะลอการประมูลคลื่นความถี่ 2 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. การประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้อาจไม่มีการแข่งขันที่แท้จริงเนื่องจากมีผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงสองรายเท่านั้นคือ ทรู คอร์ปอเรชั่น และ เอไอเอส ซึ่งเกิดจากการที่ กสทช. อนุญาตให้มีการรวมกิจการในธุรกิจโทรคมนาคมก่อนหน้านี้ ผลการวิจัยจาก 101 Public Policy Think Tank พบว่า ผู้บริโภคที่ใช้บริการจากสองค่ายนี้ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.9% หรือราว ๆ 100 บาทต่อคนต่อเดือนเมื่อเปรียบเทียบกับค่าบริการก่อนและหลังการรวมกิจการ ซึ่งแพ็กเกจราคาถูกที่สุดในปี 2565 ที่ราคา 299 บาท/เดือน หายไป และกลายเป็น 399 บาท/เดือน แทน ดังนั้น การประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้ที่มีทั้งหมด 6 ย่านความถี่ จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพและราคาของบริการที่ผู้บริโภคต้องรับในอนาคต ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
2.การประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้ไม่มีการกำหนดเพดานราคาค่าบริการสูงสุดที่เหมาะสมกับปริมาณและคุณภาพการบริการที่จะเก็บจากผู้บริโภค รวมถึงผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน (MVNO) ที่ต้องแข่งขันในตลาดเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า ไม่มีการรับประกันว่า ผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการรายเล็กจะได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นธรรมจากการประมูลครั้งนี้ในตลาดที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เหลือแค่สองรายเท่านั้น