16 มี.ค.67 - กว่า 108 ปี “สถานีรถไฟหัวลำโพง” การเปลี่ยนแปลง จากอดีต – ปัจจุบัน การเดินทางที่ทรงคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ ที่ยังมีลมหายใจ
สถานีรถไฟกรุงเทพ หรือเรียกกันทั่วไปว่า “หัวลำโพง” เริ่มก่อสร้างในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 (ปี พ.ศ.2453) และเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังสถานีรถไฟหลวงกรุงเทพ เพื่อประกอบพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่างสถานีกรุงเทพ – สถานีกรุงเก่า ได้ทรงตรึงหมุดที่รางทองรางเงินกับไม้หมอนมะริดคาดเงิน อันเป็นนาทีปฐมฤกษ์การมีรถไฟหลวงแห่งแรกในสยาม
🔻หลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดใช้บริการอย่างเป็นทางการโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ ทรงกระทำพิธีกดปุ่มสัญญญาณไฟฟ้าให้รถไฟขบวนแรกเดินเข้าสู่สถานีกรุงเทพ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2459
🔻หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกิจการรถไฟทั้งสองกรม คือ “กรมรถไฟสายเหนือ” และ “กรมรถไฟสายใต้” เข้าเป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า “กรมรถไฟหลวง”
🔻เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน มาเป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงพระองค์แรก ในระหว่างที่ทรงบังคับบัญชากิจการรถไฟนั้น พระองค์ได้บริหารงานด้วยพระปรีชาสามารถทรงนำวิชาการสมัยใหม่เข้ามาใช้ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่กิจการรถไฟอย่างมาก จนได้รับการขนานพระนามว่า “พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่”
ความเป็นจริง สถานีกรุงเทพ กับ สถานีหัวลำโพง เป็นคนละสถานี ทั้งชื่อ และ ตำแหน่งที่ตั้ง
🚂 “สถานีรถไฟหัวลำโพง” แต่เดิมเป็น “สถานีรถไฟเอกชนสายปากน้ำ” ซึ่งดำเนินกิจการก่อนกรมรถไฟหลวง หรือมีมาก่อนสถานีกรุงเทพ ตัวสถานีหัวลำโพง เป็นอาคารเรือนแถวเล็กๆ เลียบขนานไปกับทางรถไฟสายปากน้ำที่มุ่งหน้าไปทางสมุทรปราการ ซึ่งที่ตั้งในอดีตของอาคารสถานีหัวลำโพงตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับสถานีกรุงเทพในปัจจุบัน แค่ห่างกันเพียงข้ามถนนเท่านั้น ต่อมากิจการรถไฟเอกชนสายปากน้ำได้ถูกยกเลิกพร้อมกับยกเลิกสถานีหัวลำโพง เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2503
🚂 “สถานีรถไฟกรุงเทพ” เป็นสถานีรถไฟหลักกรมรถไฟหลวง เดิมเป็นอาคารไม้ ใกล้กับโรงเรียนสายปัญญา ก่อนจะสร้างใหม่ในปลายรัชกาลที่ 5 เพื่อรองรับการเดินรถที่มากขึ้น แล้วเสร็จในต้นรัชกาลที่ 6 อาคารปัจจุบันที่เราเห็นนั้นเปิดใช้ในเดือนมิถุนายน 2459 และยกเลิกอาคารไม้หลังเดิมที่คับแคบ แต่ผู้คนทั่วไปก็ยังคงเรียกติดปากว่า “สถานีรถไฟหัวลำโพง”
🚂 “สถานีรถไฟกรุงเทพ”
สถานีรถไฟกรุงเทพ สร้างอยู่ในพื้นที่ 120 ไร่เศษ อยู่ห่างจากสถานีเดิมไปทางทิศใต้ ประมาณ 500 เมตร สำหรับที่ตั้งของสถานีกรุงเทพเดิมซึ่งอยู่บริเวณที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชพิธีเริ่มการก่อสร้าง และเปิดเดินรถไฟหลวงนั้น หลังจากได้ก่อสร้างสถานีกรุงเทพหลังปัจจุบันแล้วจึงรื้อถอนออกไป
ต่อมาผู้ปฏิบัติงานรถไฟได้ร่วมกัน สละทรัพย์สร้างเป็นอนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวงขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2533 เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นอนุสรณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์แก่อนุชนรุ่นหลังสืบต่อไป
สถานีกรุงเทพ มีแบบก่อสร้างเป็นรูปโดมสไตล์อิตาเลียนผสมผสานกับศิลปะยุคเรอเนสซองมีลักษณะคล้ายกับสถานีรถไฟเมืองแฟรงค์เฟิร์ตใน
ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี อีกทั้งวัสดุในการก่อสร้างก็เป็นวัสดุสำเร็จรูปจากเยอรมันนี เช่นกันลวดลายต่างๆที่ประดับไว้เป็นศิลปะที่มีความวิจิตรสวยงามมาก บันไดและเสาอาคารบริเวณทางขึ้นที่ทำการกองโดยสาร หรือโรงแรมราชธานีเดิมเป็นหินอ่อน โดยเฉพาะเพดานเป็นไม้สักสลักลายนูน ซึ่งหาดูได้ยาก จุดเด่นของสถานีกรุงเทพอีกอย่างหนึ่งคือ กระจกสีที่ช่องระบายอากาศ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งติดตั้งไว้อย่างผสมผสานกลมกลืนกับตัวอาคารเช่นเดียวกับนาฬิกาบอกเวลาที่มีอายุเก่าแก่เท่า ๆ กับตัวอาคารสถานี โดยติดตั้งไว้ที่กึ่งกลางยอดโดมสถานี เป็นนาฬิกาที่สั่งทำพิเศษเฉพาะไม่ระบุชื่อบริษัทผู้ผลิตแสดงให้เห็นเหมือนนาฬิกาอื่น ๆ นาฬิกาเรือนนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 160 เซนติเมตร เป็นเครื่องบอกเวลาแก่ผู้สัญจรผ่านไป-มา และผู้ใช้บริการที่สถานีกรุงเทพจนถึงปัจจุบันนี้
บริเวณด้านหน้าสถานีกรุงเทพมีสวนหย่อมและน้ำพุสำหรับประชาชน โดยข้าราชการรถไฟได้รวบรวมทุนทรัพย์เป็นมูลค่า 9,150.00 บาท จัดสร้างอนุสาวรีย์น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชดุศลแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง อนุสาวรีย์ที่ว่านี้เป็นรูปช้างสามเศียร มีพระบรมฉายาลักษณ์ด้านข้างแบบลายนูนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่
สถานีกรุงเทพ เป็นสถานีเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง มีอายุถึง 108 ปี ( พ.ศ. 2567 ) แต่เดิมเป็นศูนย์กลางการขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟ ในแต่ละวันจะมีขบวนรถเข้า-ออก ประมาณ 200 ขบวน และมีผู้โดยสารเดินทางเข้านับหมื่นคน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์สำคัญๆ จะมีผู้คนหลั่งไหลมาใช้บริการที่สถานีกรุงเทพนี้นับแสนคน นอกจากความเก่าแก่แล้วยังเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ การคมนาคม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม อันทรงคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์
และเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ปรับเส้นทางการเดินรถออก - เข้า โดย กลุ่มขบวนรถไฟทางไกล กลุ่มขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วนรถเร็ว ที่จะเปลี่ยนสถานีต้นทาง-ปลายทาง มาที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวน 52 ขบวน ประกอบด้วย สายเหนือ จำนวน 14 ขบวน สายใต้ 20 ขบวน และสายตะวันออกเฉียงเหนือ 18 ขบวน ขบวนรถไฟทางไกลสายเหนือ ใต้ และอีสาน รวม 52 ขบวน ให้เปลี่ยนไปใช้บริการที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และกลุ่มขบวนรถธรรมดา ขบวนรถชานเมืองและขบวนรถนำเที่ยวทุกสาย จำนวน 62 ขบวน ยังคงให้บริการต้นทาง-ปลายทางที่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ตามเดิม ตั้งแต่ กรุงเทพ สามเสน ชุมทางบางซื่อ และจะขึ้นทางยกระดับเดินรถร่วมกับรถไฟชานเมืองสายสีแดง ยกเว้นขบวนรถธรรมดา และชานเมืองในเส้นทางสายใต้ จะเดินรถระดับพื้นดินตั้งแต่สถานีชุมทางบางซื่อไปตามเส้นทางเดิม