กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินนโยบายเพื่อการปกป้องคุมครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยกิจกรรมสำคัญประการหนึ่ง คือการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติซึ่งได้ดำเนินการมานับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 รายการมรดกภูมิปัญญาเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษได้สั่งสมและสร้างสรรค์จากภูมิปัญญาอันมีคุณค่า ควรค่าแก่การรักษาสืบทอดให้เป็นมรดกวัฒนธรรมเพื่ออนุชนรุ่นหลังได้นำมาศึกษาเรียนรู้สืบสานต่อไป การประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ นับเป็นหนทางในการปกป้องคุมครอง และเป็นหลักฐานสำคัญของคนไทย ที่ประกาศความเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ในขณะที่ยังไม่มีมาตรการทางกฎหมายที่จะคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติจำเป็นต้องมีการเสนอรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจากชุมชนแหล่งปฏิบัติที่มีประวัติศาสตร์ของการสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง
- ปี 2561 มีการขึ้นทะเบียนโขน
โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทย มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงการเล่นโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ ผู้เต้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ
โขนพัฒนามาจากศิลปะการแสดงหลายแขนงด้วยกัน คือ นำวิธีเล่นและวิธีแต่งตัวบางอย่างมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ นำท่าต่อสู้โลดโผน ท่ารำ ท่าเต้นมาจากกระบี่กระบอง และนำศิลปะการพากย์ การเจรจา เพลงและเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบกิริยาอาการของผู้แสดงที่เรียกว่าเพลงหน้าพาทย์มาจากการแสดงหนังใหญ่ ลักษณะสำคัญของโขนอยู่ที่ผู้แสดงต้องสวมหัวโขนหมดทุกตัว ยกเว้นตัวพระ ตัวนาง และตัวเทวดา มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้มีคนพากย์และเจรจา แสดงเรื่องรามเกียรติ์แต่เพียงเรื่องเดียว
การแสดงโขนมีพัฒนาการมาเป็นลำดับ จำแนกประเภทได้ดังนี้
1. โขนกลางแปลง เป็นการแสดงโขนบนพื้นกลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรง ใช้ภูมิประเทศ ธรรมชาติเป็นฉากในการแสดง ผู้แสดงเป็นชายล้วน ตัวละครทุกตัวต้องสวมหัวโขน นิยมแสดงตอนยกทัพรบกันเป็นพื้น จึงแบ่งผู้แสดงออกเป็น 2 ฝ่ายผลัดกันออกมาแสดงดำเนินเรื่อง ดังนั้นจึงต้องใช้วงปี่พาทย์ประกอบการแสดงพร้อมกัน 2 วง ไม่มีบทร้อง มีแต่บทพากย์และเจรจาบ้าง
2. โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว เป็นการแสดงโขนบนโรง ไม่มีเตียงสำหรับตัวนายโรงนั่ง มีราวพาดตามส่วนยาวของโรง ตรงหน้าฉากออกมามีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราว ตัวโรงมักมีหลังคา เมื่อตัวโขนแสดงบทของตนแล้วก็จะไปนั่งบนราว สมมติเป็นเตียงหรือที่นั่งประจำตำแหน่ง ส่วนผู้แสดงเป็นเสนาหรือวานรยังคงนั่งพื้นแสดงปกติ การแสดงโขนประเภทนี้ไม่มีการขับร้อง มีแต่การพากย์และเจรจา ดนตรีมีวงปี่พาทย์ 2 วง บรรเลงเพลงหน้าพาทย์
3. โขนหนังจอ เป็นโขนที่แสดงตรงหน้าจอหนังใหญ่โดยเจาะผ้าดิบทั้ง 2 ข้างของจอ ทำเป็นช่องประตูเข้าออก แล้วทำเป็นซุ้มประตู ด้านหนึ่งเป็นปราสาทราชวัง สมมติเป็นกรุงลงกา อีกด้านหนึ่งเป็นค่ายพลับพลาพระรามแล้วโขนก็ขึ้นไปแสดงบนโรง มีการพากย์และเจรจา มีดนตรีปี่พาทย์ประกอบการแสดงเพียงวงเดียว
4. โขนโรงใน เป็นศิลปะการผสมผสานระหว่างโขนหน้าจอกับละครใน คือเริ่มมีผู้แสดงหญิงเข้ามาปะปน มีการออกท่ารำ เต้น ผู้แสดงเป็นตัวพระเริ่มไม่ต้องสวมหัวโขน มีการพากย์และเจรจาตามแบบโขน นำเพลงขับร้องและเพลงดนตรีแบบละครในและระบำรำฟ้อนเข้าผสมด้วย โขนที่กรมศิลปากรนำออกแสดงในปัจจุบันนี้ ใช้ศิลปะการแสดงแบบโขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอก็ตาม
5. โขนฉาก หรือโขนโรง สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นราวรัชกาลที่ 5 โดยมีผู้คิดสร้างฉากมาประกอบการแสดงโขนบนเวทีในโรง (วิก) คล้ายกับการแสดงละครดึกดำบรรพ์การแสดงแบ่งเป็นฉากเป็นตอนและมีการประดิษฐ์ฉากขึ้นประกอบตามท้องเรื่อง วิธีแสดงดำเนินเช่นเดียวกับโขนโรงในมีการขับร้อง รำ เต้น และมีเพลงหน้าพาทย์
ลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของโขน คือ เครื่องแต่งกาย แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายมนุษย์-เทวดา (พระ นาง) ฝ่ายยักษ์ และฝ่ายลิง โดยแบ่งลักษณะเครื่องแต่งกายได้ 3 ประเภท คือ เครื่องประดับศีรษะ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และเครื่องประดับกายต่างๆ
การพากย์โขนก็เป็นศิลปะสำคัญควบคู่กับ การแสดงโขนเพื่อใช้ในการบรรยายและแสดงอารมณ์ประกอบตัวแสดง
บทพากย์ ใช้สำหรับเดินเรื่องการแสดงโขน แต่งด้วยคำประพันธ์ชนิดกาพย์ฉบัง 16 หรือกาพย์ยานี 11 บทพากย์มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป บทเจรจาเป็นบทร่ายยาว ส่งและรับสัมผัสกันไปเรื่อยๆ ใช้ได้ทุกโอกาสคนพากย์และเจรจานี้ใช้ผู้ชายไม่น้อยกว่า 2 คน เพื่อจะได้โต้ตอบกันทันท่วงที เมื่อพากย์หรือเจรจาจบกระบวนความแล้วต้องการให้ปี่พาทย์ทำเพลงอะไรก็ร้องบอกไป เรียกว่า “บอกหน้าพาทย์” ส่วนวงดนตรีประกอบการแสดงโขนใช้ “วงปี่พาทย์” อาจเป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ก็ได้ตามความเหมาะสม
โอกาสที่แสดงโขน การแสดงโขนสามารถใช้แสดงได้หลายวาระ ได้แก่ แสดงเป็นมหกรรมบูชา เช่น ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ หรืออัฐิเจ้านาย ตลอดจนศพขุนนาง หรือผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพนับถือทั่วไป แสดงเป็นมหรสพสมโภช เช่น ในงานฉลองปูชนียสถาน พระอารามหรือสมโภชเจ้านายทรงบรรพชา สมโภชในงานเฉลิมพระชนมพรรษา สมโภชวันประสูติเจ้านายที่สูงศักดิ์ เป็นต้น และแสดงเป็นมหรสพเพื่อความบันเทิงในโอกาสทั่วๆ ไป
นอกจากโขนจะเป็นการแสดงที่มีองค์ประกอบทางศิลปะหลายด้านดังกล่าวข้างต้นแล้ว การแสดงโขนยังมีคุณค่าในการให้แง่คิด คติเตือนใจ คุณธรรม และจริยธรรมต่างๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
ปัจจุบันสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างเครื่องแต่งกายโขน-ละครขึ้นใหม่ เนื่องจากทรงมีพระราชดำริว่าในปัจจุบันการแสดงโขนถดถอยลงเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องความไม่พิถีพิถันและไม่ให้รายละเอียดในการปัก การถัก การแต่งหน้าอีกทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงมีความเก่า ทรุดโทรม เพื่อตระหนักถึงความสำคัญของโขนอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติและเพื่อเป็นการสืบสานศิลปะงานฝีมือ เช่น ช่างทำหัวโขน ช่างปักสะดึงกรึงไหม และช่างเงินช่างทอง รวมทั้งศิลปะการแต่งหน้าที่แสดงออกถึงความเป็นศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ
องค์กรที่ทำหน้าที่ในการสืบสานศิลปะการแสดงโขนได้อย่างโดดเด่น ได้แก่ กรมศิลปากร และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
โขน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำปีพุทธศักราช 2552 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติในปีพุทธศักราช 2561
องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียน “โขน” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 19.35 น. ตามเวลาประเทศไทย ในการประชุมคณะกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ.2003 ครั้งที่ 13 ที่เมืองพอร์ตลูอิส สาธารณรัฐมอริเชียส ภายใต้ชื่อภาษาอังกฤษว่า "Khon, masked dance drama in Thailand" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ในประเภท "รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity" นับเป็นการขึ้นทะเบียนมรดก ทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ขององค์การยูเนสโก รายการแรกของประเทศไทย
- ปี 2562 มีการขึ้นทะเบียนนวดแผนไทย
วิชาการนวดหรือวิชา “หัตถเวชกรรม” เป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์การแพทย์แผนไทย ซึ่งคนไทยใช้ดูแลสุขภาพทั้งใน คนปกติและใช้บำบัดรักษาโรคผู้ป่วย การนวดไทยจึงเป็นวัฒนธรรมและวิถีชีวิตด้านสุขภาพ ที่ช่วยให้คนไทยพึ่งพาตนเอง ได้ทางสุขภาพในทุกระดับ โดยยึดหลักสัจธรรมและความเชื่อพื้นฐานเรื่องธาตุเจ้าเรือน ธรรมเนียมปฏิบัติด้านการนวดไทย และหลักการนวดไทย
การนวดไทยมีประวัติความเป็นมายาวนาน แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเริ่มต้นเมื่อใด กล่าวได้ว่าคนไทยได้รับความรู้ ด้านการนวดมาจากพระภิกษุในพระพุทธศาสนาในยุคทวาราวดี และมีพัฒนาการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านการสั่งสม ความรู้ การประพฤติปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน จนเกิดประสบการณ์ในการจัดการกับความเจ็บป่วย ก่อนมีการคัดสรร และถ่ายทอดองค์ความรู้ที่พิสูจน์แล้วว่า มีประโยชน์ สามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จนในที่สุดเกิดการสังเคราะห์ ขึ้นเป็นหลักการและวิธีการนวดไทย
การนวดไทยนั้นมีธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่การประสิทธิ์ประสาทวิชา มีการประกอบพิธีไหว้ครู ครอบครูและบูชาครู ผู้ที่ได้รับการครอบมอบวิชาแล้ว เมื่อจะนวดจะต้องสำรวมจิตให้เป็นสมาธิ ระลึกถึงพระคุณครูอาจารย์ และระมัดระวังมารยาทในขณะนวด
การนวดไทย เน้นการยืดเส้น และการกดจุด ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ “นวดแผนโบราณ” ถูกพัฒนาและปรับปรุง จนเป็นรูปแบบแผนที่เป็นมาตรฐานสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย การนวดไทยแบ่งเป็น 2 สาย คือ สายราชสำนักและ สายเชลยศักดิ์
การนวดไทยมี คุณค่าทั้ง 2 ด้าน คุณค่าต่อสุขภาพ คือทำให้บุคคลมี สุขภาพกายและจิตดี พ้นจากความเจ็บป่วย และ คุณค่าต่อสังคม คือ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
การนวดไทยที่ผ่านมา ยังมีลักษณะกระจัดกระจายไม่ครอบคลุมมิติสุขภาพ ปัญหาขาดการบริหารจัดการของ องค์กรที่เกี่ยวข้องขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ และการแอบแฝงธุรกิจการค้าบริการทางเพศของสถานบริการบางแห่ง ตลอดจนความไม่สนใจของนักวิชาการทางการแพทย์สมัยใหม่จำนวนมาก ทำให้การนวดไทยเพิ่งได้รับความสนใจ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมๆ กับการตื่นตัวขององค์การอนามัยโลก และแม้ว่าภาครัฐจะสนใจและให้ความสำคัญกับ ปัญหาการแพทย์แผนไทยมากกว่าเดิม แต่ยังคงมุ่งเน้นในเรื่องอุดมคติมากกว่าด้านปฏิบัติจริง เพราะสถาบันการแพทย์ แผนไทยซึ่งอยู่ในกำกับของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขนั้น เป็นหน่วยงานที่มีขนาดเล็ก ขาดทั้งงบประมาณ และมีโครงสร้าง การบริหารจัดการที่ไม่เชื่อมโยงกับองค์กรด้านสุขภาพอื่นๆ
นวดไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำปีพุทธศักราช 2554 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติในปีพุทธศักราช 2562
ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 ณ กรุงโบโกตา สาธารณรัฐโคลอมเบีย ได้มีมติเห็นชอบประกาศให้ “นวดไทย” (Nuad Thai, traditional Thai massage) ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติของยูเนสโก ทำให้นวดไทยเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยกย่องเชิดชูในระดับนานาชาติอย่างเต็มภาคภูมิ
- ปี 2564 มีการขึ้นทะเบียนโนรา
โนราเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านที่เป็นที่นิยมของคนในภาคใต้ องค์ประกอบหลักในการแสดงโนรา คือเครื่องแต่งกาย และเครื่องดนตรี
เครื่องแต่งกายประกอบด้วย เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง เครื่องลูกปัดร้อยด้วยลูกปัดสีเป็นลายมีดอกดวง ใช้สำหรับสวมลำตัวท่อนบนแทนเสื้อ ปีกนกแอ่นหรือปีกเหน่ง ทับทรวงปีกหรือหางหงส์ ผ้านุ่ง สนับเพลา ผ้าห้อยหน้า ผ้าห้อยข้างกำไลต้นแขน-ปลายแขน และเล็บ ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องแต่งกายของโนราใหญ่หรือโนรายืนเครื่อง ส่วนเครื่องแต่งกายของตัวนางหรือนางรำเรียกว่า “เครื่องนาง” ไม่มีกำไลต้นแขนทับทรวง และปีกนกแอ่น
เครื่องดนตรีของโนรา ส่วนใหญ่เป็นเครื่องตีให้ จังหวะ ประกอบด้วย ทับ (โทนหรือทับโนรา) มี 2 ใบ เสียง ต่างกันเล็กน้อย ใช้คนตีเพียงคนเดียว เป็นเครื่องตีที่สำคัญ ที่สุด เพราะทำหน้าที่คุมจังหวะและเป็นตัวนำในการเปลี่ยน จังหวะทำนองตามผู้รำ กลองทำหน้าที่เสริมเน้นจังหวะและ ล้อเสียงทับ ปี่ โหม่ง หรือฆ้องคู่ ฉิ่ง และแตระ
โนรามีการแสดง 2 รูปแบบ คือ โนราประกอบ พิธีกรรม (โนราโรงครู) และโนราเพื่อความบันเทิง ซึ่งมี ความแตกต่างกัน ดังนี้
โนราประกอบพิธีกรรมหรือโนราโรงครู เป็น พิธีกรรมที่มีความสำคัญในวงการโนราเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เป็นพิธีกรรมเพื่อเชิญครูหรือบรรพบุรุษของโนรามายัง โรงพิธีเพื่อไหว้ครูหรือไหว้ตายายโนรา เพื่อรับของแก้บน และ เพื่อครอบเทริดหรือผูกผ้าแก่ผู้แสดงโนรารุ่นใหม่ มี 2 ชนิด คือ โนราโรงครูใหญ่ หมายถึง การรำโนราโรงครูอย่างเต็ม รูปแบบ ซึ่งจะต้องกระทำต่อเนื่องกัน 3 วัน 3 คืน จึงจะจบพิธี โดยจะเริ่มในวันพุธไปสิ้นสุดในวันศุกร์ และจะต้องกระทำ เป็นประจำทุกปี หรือทุกสามปี หรือทุกห้าปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่การถือปฏิบัติของโนราแต่ละสาย สำหรับโนราโรงครูเล็ก ใช้เวลา 1 วันกับ 1 คืน โดยปกตินิยมเริ่มในตอนเย็นวันพุธ แล้วไปสิ้นสุดในวันพฤหัสบดี
โนราเพื่อความบันเทิง เป็นการแสดงเพื่อให้ความ บันเทิงโดยตรง มีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. การรำ โนราแต่ละตัวต้องรำอวดความชำนาญ และความสามารถเฉพาะตน โดยการรำผสมท่าต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องกลมกลืน แต่ละท่ามีความถูกต้อง ตามแบบฉบับ มีความคล่องแคล่วชำนาญที่จะเปลี่ยนลีลา ให้เข้ากับจังหวะดนตรี และต้องรำให้สวยงามอ่อนช้อย หรือกระฉับกระเฉงเหมาะแก่กรณี บางคนอาจอวดความ สามารถในเชิงรำเฉพาะด้าน เช่น การเล่นแขน การทำให้ ตัวอ่อน การรำท่าพลิกแพลง เป็นต้น
2. การร้อง โนราแต่ละตัวจะต้องอวดลีลาการร้อง ขับบทกลอนในลักษณะต่างๆ เช่น เสียงไพเราะดังชัดเจน จังหวะการร้องขับถูกต้องเร้าใจ มีปฏิภาณในการคิดกลอน รวดเร็ว ได้เนื้อหาดี สัมผัสดี มีความสามารถในการร้อง โต้ตอบ แก้คำอย่างฉับพลันและคมคาย เป็นต้น
3. การทำบท เป็นการอวดความสามารถในการ ตีความหมายของบทร้องเป็นท่ารำ ให้คำร้องและท่ารำ สัมพันธ์กัน ต้องตีท่าให้พิสดารหลากหลายและครบถ้วน ตามคำร้องทุกถ้อยคำ ต้องขับบทร้องและตีท่ารำให้ประสม กลมกลืนกับจังหวะและลีลาของดนตรีอย่างเหมาะเหม็ง การทำบทจึงเป็นศิลปะสุดยอดของโนรา
4. การรำเฉพาะอย่าง นอกจากโนราแต่ละคน จะต้องมีความสามารถในการรำ การร้อง และการทำบท ดังกล่าวแล้ว ยังต้องฝึกการรำเฉพาะอย่างให้เกิดความ ชำนาญเป็นพิเศษด้วย ซึ่งการรำเฉพาะอย่างนี้ อาจใช้แสดง เฉพาะโอกาส เช่น รำในพิธีไหว้ครู ในพิธีแต่งพอกผูกผ้าใหญ่ บางอย่างใช้รำเฉพาะเมื่อมีการประชันโรง บางอย่างใช้ ในโอกาสรำลงครูหรือโรงครู หรือในการรำแก้บน เป็นต้น ตัวอย่างการรำเฉพาะอย่าง เช่น รำบทครูสอน รำเพลงทับ เพลงโทน รำเพลงปี่ รำขอเทริด รำคล้องหงส์
5. การเล่นเป็นเรื่อง โดยปกติโนราไม่เน้นการเล่น เป็นเรื่อง แต่ถ้ามีเวลาแสดงมากพอ อาจมีการเล่นเป็นเรื่อง ให้ดูเพื่อความสนุกสนาน โดยเลือกเรื่องที่รู้ดีกันแล้วบางตอน มาแสดง ไม่เน้นการแต่งตัวตามเรื่องแต่จะเน้นการตลก และการขับบทกลอนแบบโนราให้ได้เนื้อหาตามท้องเรื่อง
การแสดงโนราที่เป็นงานบันเทิงทั่วๆ ไป แต่ละครั้ง แต่ละคณะจะมีลำดับการแสดงที่เป็นขนบนิยม โดยเริ่มจาก
ปล่อยตัวนางรำออกรำ (อาจมีผู้แสดงจำนวน 2-5 คน) ซึ่งมีขั้นตอน คือ เกี้ยวม่าน หรือขับหน้าม่าน เป็นการ ขับร้องบทกลอนอยู่ในม่านกั้นโดยไม่ให้เห็นตัว/ออกร่ายรำ แสดงความชำนาญและความสามารถในเชิงรำเฉพาะตัว/ นั่งพนัก ว่าบทร่ายแตระ แล้วทำบท (ร้องบทและตีท่ารำตามบทนั้นๆ) /ว่ากลอน เป็นการแสดงความสามารถ เชิงบทกลอน (ไม่เน้นการรำ) ถ้าว่ากลอนที่แต่งไว้ก่อน เรียกว่า “ว่าคำพรัด” ถ้าเป็นผู้มีปฏิภาณมักว่ากลอนสด เรียกว่า “ว่ามุดโต” และรำอวดมืออีกครั้งแล้วเข้าโรง
ออกพราน คือ ออกตัวตลก เป็นผู้มีความสำคัญ ในการสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้น
ออกตัวนายโรง หรือโนราใหญ่ นายโรงจะอวด ท่ารำและการขับบทกลอนเป็นพิเศษให้สมแก่ฐานะที่เป็น นายโรง ในกรณีที่เป็นการแสดงประชันโรง โนราใหญ่ จะทำพิธีเฆี่ยนพราย และเหยียบลูกนาว เพื่อเป็นการ ตัดไม้ข่มนามคู่ต่อสู้ และเป็นกำลังใจแก่ผู้ร่วมคณะของตน
ออกพรานอีกครั้ง เพื่อบอกว่าต่อไปจะเล่นเป็นเรื่อง และจะเล่นเรื่องอะไร จากนั้นจึงเล่นเป็นเรื่อง
ปัจจุบันการแสดงโนรายังคงมีการแสดงทั้ง 2 รูปแบบ ทั้งเพื่อความบันเทิงและการรำในพิธีกรรม คุณค่าของโนรา นอกจากเครื่องแต่งกายและท่ารำที่มีความเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะแล้ว โนรายังทำหน้าที่เป็น “สื่อ” เผยแพร่ให้ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง และ เข้าถึงชาวบ้านได้ง่าย โนราจึงเป็นศิลปะการแสดงของ ชาวภาคใต้ที่ยังคงครองความนิยมท่ามกลางกระแส การเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันได้ดีตามสมควร ตัวอย่าง โนราที่โดดเด่น เช่น คณะครื้นน้อย ดาวรุ่ง จังหวัดตรัง และคณะโนราน้อม โบราณศิลป์ จังหวัดพัทลุง คณะละไม ศรีรักษา จังหวัดสงขลา
โนราขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2552 ในสาขาศิลปะการแสดง และขึ้นทะเบียนเป็นรายการที่เป็นตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติในปีพุทธศักราช 2564
- ปี 2566 มีการขึ้นทะเบียนสงกรานต์
สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ คำว่า “สงกรานต์” เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า การเคลื่อนที่ หรือการเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์จากราศีหนึ่งสู่ราศีหนึ่ง ช่วงเวลา สงกรานต์ของไทย เป็นช่วงที่พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายจากราศีมีนสู่ราศีเมษ ดังนั้น จึงเป็นประเพณีการฉลองขึ้นปีใหม่ ตามสุริยคติ โดยทั่วไปมีกำหนด 3 วัน คือ วันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันมหาสงกรานต์ เป็นวันที่พระอาทิตย์ก้าวเข้าสู่ ราศีเมษ และเป็นวันสิ้นปีเก่า วันที่ 14 เมษายน เป็นวันเนา ซึ่งเป็นวันที่เชื่อมต่อระหว่างปีเก่ากับ ปีใหม่ และวันที่ 15 เมษายน เป็นวันเถลิงศก หรือวันขึ้นปีใหม่ ประเทศที่มีประเพณีสงกรานต์ นอกจากไทยแล้ว ยังมีประเทศลาว กัมพูชา และพม่า รวมทั้งกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลไทอีกด้วย
ประเพณีเทศกาลสงกรานต์ของไทย มีกิจกรรมที่ยึดถือแนวปฏิบัติที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคน แตกต่างกัน ตามความเชื่อและแนวปฏิบัติของคนไทยแต่ละภูมิภาค โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ดังนี้ การชำระล้างความสกปรกและ ขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป ได้แก่ การทำความสะอาดบ้านเรือน วัดวาอาราม ตลอดจนสาธารณสมบัติ ในบางถิ่นมีการ อาบนํ้าสระผมในลักษณะเป็นพิธีกรรม มีการนิมนต์ให้พระสงฆ์สวดมนต์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายและเกิดสิริมงคล การไปวัดเพื่อ แสดงคารวะต่อพระรัตนตรัย และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว การแสดงคารวะหรือ ขออโหสิกรรม จากผู้อาวุโส หรือผู้มีพระคุณด้วยการมอบดอกไม้ เสื้อผ้าและนํ้าหอม รวมทั้งการแสดงความปรารถนาดีต่อกันด้วย การอวยพรและรดนํ้า ตลอดจนการรื่นเริงสนุกสนาน มีการละเล่นของหนุ่มสาว โดยบางท้องถิ่นจะทำความสะอาด สถานที่และจับจ่ายในวันที่ 13 วันที่ 14 เป็นวันสุกดิบ มีการทำอาหาร เพื่อเตรียมที่จะทำบุญ ส่วนวันที่ 15 เป็นการไป ทำบุญที่วัด หลังจากนั้นก็ไปคารวะผู้ใหญ่ การสาดนํ้าจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 – 15 เมษายน บางแห่งอาจต่อเนื่อง ไปอีก 2 – 3 วัน
สงกรานต์ ถือเป็นประเพณีที่งดงามมีคุณค่า สะท้อนถึงความเป็นไทย เป็นช่วงเวลาแห่งการรักษากายใจและ สิ่งแวดล้อม เป็นโอกาสของการแสดงความกตัญญูและความปรารถนาดีต่อผู้มีพระคุณ การแสดงความเอื้ออาทรต่อ ครอบครัว ญาติมิตรและชุมชน
สงกรานต์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำปีพุทธศักราช 2554 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติในปีพุทธศักราช 2566
การประชุมของยูเนสโก ครั้งที่ 18 วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2566 ณ สาธารณรัฐบอตสวานา พิจารณาประกาศให้ "สงกรานต์ในประเทศไทย ประเพณีปีใหม่ไทย" (Songkran in Thailand, traditional Thai New Year festival) ขึ้นทะเบียนเป็นรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ค.ศ.2023
ขอบคุณที่มา : https://ich-thailand.org/