มิ.ย.64 - ชูการทำงานแบบ social lab ส่งเสริมการมีงานทำ สู่การพัฒนาเป็นระบบต้นแบบ ‘พิมพ์เขียว’ ช่วยสนับสนุนดูแล ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับเยาวชนที่มีความต้องการพิเศษ (พิการ) ก้าวข้ามข้อจำกัดสู่อนาคต
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ จัดประชุมวิชาการนานาชาติ ด้านการศึกษาสายอาชีพเพื่อคนทุกคน ครั้งที่ 1 ในหัวข้อ “เปลี่ยนความต้องการพิเศษ เป็นพลังเพื่อสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน”
ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการเห็นความสำคัญของการศึกษาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งผู้พิการหรือผู้ที่มีความต้องการพิเศษ โดย น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ได้กำหนดนโยบายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมในทุกกลุ่มพื้นที่และทุกคนรวมทั้งผู้ที่มีความต้องการพิเศษนับล้านคนที่ทุกคนจะได้รับการส่งเสริมทักษะวิชาชีพที่เหมาะสม ได้รับสิทธิและโอกาสในการประกอบอาชีพด้วยตัวเอง และจากภาคประชาสังคม
ซึ่ง กสศ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และ คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันวางแผนที่สอดประสานกับยุทธศาสตร์ 20 ปี ในการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ การสร้างโอกาส เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาและผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษตลอดทุกช่วงชีวิต คาดหวังว่าจากการปะชุมฯ ครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ในการพิจารณาคุณภาพผู้เรียน ครู บุคลากร และระบบการบริหารจัดการสถานศึกษาให้เป็นแนวทางต้นแบบการปฏิบัติที่ดีให้กับการจัดการศึกษาเพื่ออาชีพ ของบุคคลที่มีความต้องการพิเศษในประเทศไทย
รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการบริหาร กสศ. กล่าวว่า กสศ. ได้พัฒนาโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง และได้ลงนามบันทึกความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำจึงจะพัฒนาต้นแบบทำงานในลักษณะ social lab ผ่านการสนับสนุนทุนให้แก่นักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจน 20% ล่างสุดของประเทศ และกลุ่มนักเรียนที่มีความพิการให้มีโอกาสเรียนต่อสายอาชีพชั้นสูงและมีงานทำทันทีเมื่อจบการศึกษาในสาขาที่ตลาดแรงงานของประเทศ
นอกจากนี้ โครงการนี้ยังให้การสนับสนุนทุนให้แก่สถานศึกษาเพื่อพัฒนารูปแบบหลักสูตรที่เป็นนวัตกรรม ส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีทักษะรอบด้าน ความร่วมมือกับภาคเอกชนในลักษณะ Co-Funding และการส่งเสริมการมีงานทำพัฒนาเป็นระบบต้นแบบ ที่จะส่งต่อให้หน่วยงานหลักในการขยายผลเชิงปฏิรูป โดยทางโครงการได้ดำเนินการมาตั้งแต่ ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ร่วมกับ 95 สถาบันกระจายตัวใน 43 จังหวัดทั่วประเทศ มีจำนวนนักศึกษาสะสม 6,262 คน ในจำนวนนี้ เป็นนักศึกษาที่มีความต้องการพิเศษ (พิการ) ทั้งกลุ่มร่างกาย สติปัญญา สองรุ่นรวม 197 คน ซึ่งดำเนินการร่วมกับสถานศึกษาอาชีวศึกษา 10 แห่ง ใน 7 จังหวัด การทำงานนี้มุ่งหวังว่าจะเป็นการสร้างต้นแบบช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษให้มีโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป ตามแนวคิด สร้างความพิเศษเป็นพลัง
ด้าน ดร.อรรถพล สังขวาสี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กล่าวว่า สอศ. เตรียมพร้อมจัดการศึกษาให้กับผู้พิการ ผู้ที่มีความต้องการพิเศษมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับ ปวช. ปวส. หลักสูตรระยะสั้น รีสกิล อัพสกิลให้ผู้เรียน ไปจนถึงการจัดการเรียนรวม บริการสนับสนุนทางการศึกษา เพื่อสร้างความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มคุณภาพการศึกษาให้กับผู้เรียน แม้จะมีความแตกต่างทางร่างกาย แต่คุณภาพต้องเท่ากัน ซึ่งที่ผ่านมา สอศ. ได้รับการสนับสนุน จากทั้ง กสศ. และ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เน้นส่งเสริมดูแลสวัสดิภาพ ความเป็นอยู่ ทักษะบุคลากร การจัดการเรียนการสอน การเตรียมความพร้อมสู่การมีงานทำร่วมกับสถาบันการศึกษาทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่พัทยาวิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ และวิทยาลัยสารพัดช่างสุรินทร์
ทั้งนี้ สอศ. ตระหนักถึงความสำคัญการพัฒนาครู บุคลากร เพื่อยกระดับการจัดการศึกษา พัฒนาผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ในการจัดการเรียนการสอนที่ทันสมัย ยืดหยุ่น เปิดกว้าง เป็นการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย ที่เพิ่มประสิทธิภาพอาชีวศึกษา ทั้งการจัดการเรียนการสอน ส่งเสริมฝึกปฏิบัติจริง มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการจัดการเรียนแบบทวิภาคี ที่ส่วนหนึ่งเรียนในสถานศึกษาและอีกส่วนฝึกปฏิบัติจริงที่สถานประกอบการ ได้ฝึกปฏิบัติจริงและเรียนรู้โลกการทำงาน
รวมทั้งคุณภาพการศึกษา สามารถวางไว้เทียบเคียงกับระดับของผู้เรียนปกติได้ ถ้าผู้เรียนมีศักยภาพไปถึง ฉะนั้นการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ต้องคำนึงถึงความพร้อมผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้ความเชื่อมั่นกับผู้เรียน ผู้ปกครองและประกันคุณภาพความสำเร็จให้เขาได้ โดยต้องมุ่งเป้าไปที่การฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการและการมีงานทำที่ปลายทาง ท้ายที่สุดในสถานการณ์หลังการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส เราสามารถมองไปยังด้านบวกได้ว่ามีอาชีพใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการเดินทางเข้าไปในสถานประกอบการเป็นเรื่องที่บางครั้งทำไม่ได้ ประเด็นนี้อยากให้วิทยาลัยต่าง ๆ มองให้เห็นแล้วนำไปปรับใช้ส่งเสริมอาชีพให้น้อง ๆ กลุ่มนี้ โดยเชื่อมโยงกับสาขาที่สามารถทำได้หรือมองไปยังสาขาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ