อันที่จริงเรื่องที่กำลังจะเล่า ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่คลองบางกรวย หากแต่เริ่มต้นที่สายน้ำเจ้าพระยาที่ไหลเรื่อยเข้าคลองบางกอกน้อย มาถึงจุดสิ้นสุดของคลองที่บางกรวยตรงจุดแยกไปคลองอ้อมนนท์ และคลองบางกรวย ที่เรียกว่าเป็นเรื่องลี้ลับของคลองบางกรวยเพราะ เรื่องราวที่คนรู้จักเกิดขึ้นที่ บางกรวย
หลายคนคงรู้จักวัดชลอ เคยไปทำบุญ เคยผ่านได้ชื่นชมกับพระอุโบสถเรือสุพรรณหงส์ที่งดงาม ใครเคยมาวัดนี้และได้เคยเดินเข้ามาถึงริมน้ำ มาปลอดปลา มารับประทานอาหารจะเคยเห็นศาลริมน้ำ ภายในมีรูปปั้นสตรีงดงามยืนเด่นอยู่ในศาล เธอคือ แม่บัวลอย เรื่องเล่าลี้ลับในตอนนี้
ที่บอกว่าลี้ลับเพราะประวัติความเป็นมาของแม่บัวลอยมีเรื่องเล่ากันมาหลายแบบ แต่เอาที่เป็นทางการและคนเก่าคนแก่ที่วัดชลอจำได้และยืนยันมา เรื่องของบัวลอยเป็นอย่างนี้
บัวลอยคือสาวน้อยวัย 17 ปี จากเมืองปทุมธานี เธอมีหน้าตาสวยงาม บัวลอย เธอมากับเรือขนทรายจากปากเกร็ด เรือที่เธอมามาจอดที่ท่าหน้าวัดสุวรรณคีรี(วัดขี้เหล็ก) ระหว่างขนทรายลง บัวลอยเกิดล้มป่วยอย่างหนัก พวกเรือทรายจึงนำบัวลอยขึ้นมารักษาที่ศาลาหน้าวัด บัวลอยมีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างเรือทราย เมื่อเอาบัวลอยขึ้นมาชาวบ้านและพระในวัดได้ช่วยกันรักษาแต่อาการของบัวลอยหนักมากจึงเสียชีวิต เมื่อบัวลอยจากไป พวกเรือทรายได้ฝากศพเอาไว้ที่วัดและออกเรือบ่ายโฉมหน้าไปปทุม ทิ้งศพของบัวลอยฝากไว้ที่โกดังวัดสุวรรณคีรี รอให้ญาติมานำเอาไปประกอบพิธีทางศาสนา
เวลาผ่านไปไม่มีญาติของบัวลอยมาตามหา จากวันเป็นเดือน เป็นปี วันหนึ่งได้มีชายหนุ่มพายเรือเข้ามาในคลองตามหาบัวลอย ชายหนุ่มคนนี้ตามมาจนถึงวัดสุวรรณคีรีและได้ทราบว่าบัวลอยตายไปแล้ว ศพยังเก็บอยู่ในโกดัง
ชายหนุ่มดังกล่าวเป็นคนรักของบัวลอยเมื่อรู้ว่าบัวลอยตายไปแล้วศพเก็บในวัด ก็หายหน้าไปจนกระทั่งบัดนี้เวลาผ่านมาถึง30 ปีไม่มีญาติหรือใครมาตามหาบัวลอยอีก บัวลอย กลายเป็นศพไม่มีญาติ เวลาผ่านมาหลายปีเกือบสิบปี ทางวัดเตรียมจัดงานเผาศพไม่มีญาติ ในการตรวจโกดังค้นหาศพเพื่อนำมาเผาในพิธี เห็นศพของหนึ่งในโลง เขียนชื่อเอาไว้ข้างโลงว่าบัวลอย สภาพของโครงกระดูกยังงดงามครบถ้วน เพียงแต่เนื้อหนังเท่านั้นที่เน่าเปื่อยหลุดออกหมดเหลือแต่โครงกระดูก
ที่วัดมีโรงเรียนชื่อ โรงเรียนบรรณาคาร ครูที่โรงเรียนที่เป็นกรรมการวัด เกิดความคิดที่จะนำโครงกระดูกบัวลอยไปให้เด็กนักเรียนดู ประกอบการสอนสุขศึกษา อันจะเป็นประโยชน์ดีกว่าทิ้งเฉยๆโครงกระดูกของบัวลอยจึงเดินทางจากวัดสุวรรณคีรีมาอยู่ห้องเก็บของๆโรงเรียนบรรณาคารและนำมาตบแต่งติดต่อจนเป็นรูปร่างนำเอาออกมาให้เด็กนักเรียนศึกษาประกอบการสอน แต่ปรากฏว่าพวกเด็กนักเรียนเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา ทางโรงเรียนจึงนำกลับเข้าไปเก็บไว้ในห้องเก็บของตามเดิม
จนกระทั่งมีพระภิกษุจากเมืองใต้ท่านหนึ่ง คือ หลวงพ่อสุเทพ เดินทางมาอยู่ที่วัดชลอ ท่านเป็นพระนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทางโรงเรียนจึงนำโครงกระดูกของบัวลอยมาถวายให้แก่พระอาจารย์สุเทพ โครงกระดูกของบัวลอยจึงได้เดินทางจากโรงเรียนบรรณคารมาอยู่ที่วัดชลอ
หลังจากที่โครงกระดูกบัวลอยได้นำมาไว้ในศาลาแล้ว หลายคืนต่อมามีเสียงประหลาดคล้ายเสียงคนร้องไห้โหยหวน ชาวบ้านได้ยินกันในคืนแรกก็สงสัยว่าเป็นเสียงร้องมาจากไหน แต่แปลกใจและหวาดหวั่นขึ้นมา ทำให้นึกถึงเรื่องราวของผีมากกว่าจะนึกถึงความเจ็บปวดของคนธรรมดา
เริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบกันในละแวกวัดชลอ หลังจากนั้นหลายคืนติดต่อกัน เสียงร้องอย่างเจ็บปวดคร่ำครวญก็ถี่ขึ้น จนกระทั่งพระอาจารย์สุเทพ ได้บอกกล่าวกับโครงกระดูกของบัวลอย เพราะเห็นว่า เสียงลึกลับนั้นน่าจะมาจากโครงกระดูกของเด็กสาวผู้อาภัพนี่เอง นับจากนั้นมาเสียงร้องประหลาดก็เงียบหายไป แต่กลับกลายเป็นว่าชาวบ้านเริ่มรู้เรื่อง หลั่งไหลกันมาดูโครงกระดูกและบางราย ก็มาขอโชคลาภ
เดิมโครงกระดูกของบัวลอยอยู่บนศาลาใหญ่ พอมีคนถูกหวยกันมาก มีคนมาขอกันมาก พระอาจารย์สุเทพจึงได้ย้ายมาอยู่ในวิหาร ตามปกติจะปิดประตูใส่กุญแจไว้ เพราะท่านเกรงว่าจะอื้อฉาวไม่เหมาะสม ต่อมาโครงกระดูกของแม่บัวลอยหายไปและยังหากลับคืนไม่พบ ตำนานความศักดิ์สิทธิ์เชื่อกันว่า แม่บัวลอย ยังคงอยู่ที่วัดชลอจึงมีคนสร้างศาลและรูปแม่บัวลอยขึ้น
แม้วันนี้ พระครูนนทปัญญาวิมล (หลวงพ่อสุเทพ) ได้มรณภาพไปแล้ว แต่เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของแม่บัวลอยยังคงอยู่ อยู่ในความทรงจำของคนบางกรวย
เสียงเพลง บางกอกน้อย ชัยชนะ บุญนะโชติ ลอยมาตามลม
สุดคลองบางกอก น้อยพายเรือตามหาบัวลอยจนเหงื่อพี่ย้อยโทรมกาย ปากพี่ตะโกนกู่ ถึงยอดชู้เพื่อนร่วมกาย
ไม่รู้ว่าเจ้าจมหายลอยไปแห่งใดเล่า หนา
ใจพี่แทบขาดแล้ว มือคง ยังจ้ำยังแจว ตามหานางแก้วดวงตา ศพน้องเจ้าลอยล่องอยู่ใต้ท้อง สุธาราหรือว่าลอยออกนอกเจ้าพระยา จึงค้นหาไม่ พบศพบัวลอย
โถ เจ้าว่ายน้ำไม่เป็นยังลงว่ายเล่นเพียงเห็นชื่นเย็นนิดหน่อยน้ำเชี่ยวยิ่งเหลือเจ้าจึงเป็นเหยื่อคลองบางกอกน้อย
จิตใจพี่ให้เศร้าสร้อยถึงบัวลอย แม่จอมขวัญ