X
ศาลปกครองสูงสุดรับคำฟ้องเพิกถอนมติ กสทช. รับทราบควบรวม TRUE-DTAC

ศาลปกครองสูงสุดรับคำฟ้องเพิกถอนมติ กสทช. รับทราบควบรวม TRUE-DTAC

25 มี.ค. 2567
620 views
ขนาดตัวอักษร

ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งในคดีที่ผู้บริโภค 5 ราย ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง (ศาลชั้นต้น) ในคดีหมายเลขแดงที่ 301/2566 หมายเลขแดงที่ 1194/25 ซึ่งศาลฯมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในคดีขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) กรณีรับทราบการรวมธุรกิจระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (DTAC) และขอให้เพิกถอน ประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ไว้พิจารณา


ศาลฯ เห็นว่า ยื่นฟ้องคดีแม้จะพ้นกำหนดระยะเวลาฟ้องคดีแล้ว แต่การฟ้องคดีนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542  ศาลปกครองจึงมีอำนาจรับคำฟ้องของผู้บริโภคทั้ง 5 ราย ไว้พิจารณาพิพากษาได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ


ตามที่ บอร์ด กสทช. มีมติในการประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 รับทราบการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ฟ้องมองว่า ในฐานะเป็นผู้บริโภค ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจากมติของบอร์ด จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิก ถอนประกาศและมติดังกล่าว


ศาลปกครองสูงสุด วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าว่า เป็น ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเสี่ยงได้ อันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ถูกฟ้อง คดี คือ กสทช.และเห็นว่าผู้ฟ้อง เป็นผู้ใช้บริการเครือ ข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการกำกับดูแลของผู้ถูกฟ้องคดี


ส่วนการที่ผู้ฟ้องคดีที่อ้างว่า ประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการ กำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธ.ค.2560 และมีมติในการประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 เมื่อ วันที่ 20 ตุลาคม 2565 รับทราบการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิ เคชั่น จำกัด (มหาชน) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันส่งผลให้บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด

กลายเป็นผู้ดำเนินกิจการที่อยู่เหนือตลาด หรือเป็นผู้ดำเนิน กิจการโทรคมนาคมเพียงรายเดียว ย่อมจะส่งผลให้อัตราค่าบริการ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคมทุกประเภทเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และ ย่อมส่งผลให้ประชาชน รวมถึงผู้ฟ้องคดีทั้งห้าไม่สามารถเลือกรับ หรือตัดสินใจในการรับบริการโทรคมนาคมได้ กรณีจึงถือได้ว่า ผู้ ฟ้องคดีทั้งห้าอาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเสี่ยงได้ จากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า จึงเป็นผู้มี สิทธิฟ้องคดีนี้ ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาล ปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542


แม้ว่าผู้ฟ้องคดีได้นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นทาง ระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิส์ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์2566 เป็นการยื่นฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดี ตาม มาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดี ปกครอง พ.ศ.2542 แต่เมื่อพิจารณาตามอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีแล้วเห็นว่า การฟ้องคดีนี้จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมที่ศาลปกครองจะรับไว้ พิจารณาได้ตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาล ปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542


บริการโทรคมนาคมเป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และด้วยข้อจำกัดเกี่ยว กับปริมาณคลื่นความถี่ที่มีจำนวนจำกัด อีกทั้งการลงทุนในการ ประกอบกิจการโทรคมนาคมต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ตลาดหรือ อุตสาหกรรมโทรคมนาคม จึงมีผู้ประกอบการจำนวนน้อยราย ทำให้มีลักษณะเป็นการกึ่งผูกขาดโดยธรรมชาติ การที่ผู้ประกอบการในกิจการโทรคมนาคมจะควบรวมธุรกิจหรือไม่ จึงกระทบต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และมีผลกระทบต่อ ประชาชนผู้ใช้บริการในวงกว้างด้วย ข้อพิพาทในคดีนี้จึงต้องถือว่า เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ศาล ปกครองจึงมีอำนาจรับคำฟ้องนี้ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าไว้พิจารณา พิพากษาได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน


ศาลจึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำฟ้องของผู้ ฟ้องคดีทั้งห้าไว้พิจารณา และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูป คดี รวมทั้งพิจารณาคำขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา คดีของผู้ฟ้องคดีต่อไป

Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)