8 ส.ค.66 - ส่องทิศทางการลงทุนด้านวิจัยและนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ใน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2566” ผู้เชี่ยวชาญเชื่อวิจัยไทยพาเศรษฐกิจไทยหลุดกับดักรายได้ปานกลาง
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ จัดงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 : Thailand Research Expo 2023” ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนงานวิจัย สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างไทยยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 7 - 11 สิงหาคม 2566 ณ ห้องประชุมชั้น 22-23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ประเดิมเวทีเสวนาด้วยหัวข้อ “ทิศทางการลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสังคมในการพัฒนาประเทศ”
ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 4 ที่เราได้ปฏิรูปงานวิจัย ซึ่งยอมรับว่าในฐานะอยู่กับระบบนี้มานาน การเขียนแผนไม่ยากแต่การทำให้เกิดผลยากกว่าอย่างไรก็ตามทิศทางการลงทุนด้านการวิจัยในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมานับได้ว่า สามารถขับเคลื่อนได้มากขึ้นและเป็นไปตามเป้าหมาย เราสามารถนำไปใช้ตอบโจทย์ตรงกับความต้องการทั้งด้านอาหาร การแพทย์และสุขภาพ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีอัจฉริยะ โดยใช้กองทุน ววน. เป็นตัวขับเคลื่อนงานวิจัย ซึ่งพร้อมที่จะให้สภาอุตสาหกรรมหอการค้า ภาคประชาสังคมและภาคการเมือง มาร่วมในการทำให้กองทุนนี้ใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด จากเดิมถ้าเรามีงบประมาณ 18,000 ล้านบาทใช้เวลาพิจารณา 3 เดือนไม่ทัน ตอนนี้เราเริ่มวิธีใหม่มาเป็นการให้เป็นกลุ่ม ทำให้เกิดความรวดเร็วและคำนึงถึงเป้าหมายการผลิตผลงานเป็นสำคัญ
นายวิโรจน์ นรารักษ์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้ฉากทัศน์แนวทางการพัฒนาว่าปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้อยู่ Stand Alone แต่เชื่อมโยงกับโลก จึงต้องคำนึงถึงการดำเนินนโยบายที่ต้องตอบโจทย์ของโลกควบคู่ไปกับของบ้านเมือง่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งเรื่องสังคมผู้สูงอายุ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มิติเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ในขณะที่ 20 ปีที่ผ่านมา งบประมาณการลงทุนของประเทศลดลงจาก 40 เปอร์เซนต์ เหลือเพียง 20 เปอร์เซนต์เท่านั้น โดยงบลงทุนด้านการวิจัยอยู่ที่ 1.2 เปอร์เซนต์จากที่ตั้งเป้าไว้ที่ 2 เปอร์เซนต์ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นประเทศที่หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง เป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปีพ.ศ.2570 ซึ่งถ้าจะทำเช่นนั้นได้คนไทยต้องมีรายได้ตกคนละ 400,000 บาทต่อปี และ GDP ของประเทศจะต้องอยู่ที่5 เปอร์เซนต์ แต่ขณะนี้อยู่ที่ 3 เปอร์เซนต์ ที่ผ่านมาปัญหาของประเทศไทย คือ การขาดแคลนบุคลากร และขาดแคลนเทคโนโลยี งานวิจัยจึงมีบทบาทสำคัญที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยงานวิจัยและพัฒนานั้นไม่ใช่ทำให้การแข่งขันดีขึ้นเท่านั้นแต่จะต้องเป็นปัจจัยในการช่วยยกระดับและเทคโนโลยีของประเทศด้วย ซึ่งอีก 5 ปีเราควรจะทำอะไร สภาพัฒน์ฯ ได้กำหนดเป็นหมุดหมายไว้ 13 หมุดหมายในแผนพัฒนา ฉบับที่ 13 เพื่อเป็นแนวทางในการวิจัยพัฒนาประเทศอย่างชัดเจน
เช่นเดียวกับคุณเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรม ที่สะท้อนภาพความท้าทายของโลกยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในลักษณะ Disruptive ทำให้อุตสาหกรรมหลายกลุ่มได้รับผลกระทบสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้ห่วงโซ่ต่าง ๆ เป็นปัญหา รวมถึงพลังงานที่มีราคาสูง จนถึงปัญหาโลกร้อนที่ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องกำหนดนโยบาย Net zero สำหรับความท้าทายในประเทศ ได้แก่ ปัญหาความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรมขณะนี้ลดลงทุกด้าน การส่งออกติดลบ และประเทศไทยเป็นประเทศที่ติดอยู่กับกับดักรายได้ปานกลางมานานมากและใช้แรงงานเป็นหลัก ซึ่งหากยังเป็นอุตสาหกรรมแบบนี้เราจะไม่สามารถไปสู่ประเทศที่พัฒนาได้เลย ดังนั้น สภาอุตสาหกรรมจึงได้เตรียมปรับแผนการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมใหม่โดยเปลี่ยนวิธีคิดทำน้อยได้มาก ด้วยการใช้เทคโนโลยี เป็นอุตสาหกรรม Next Gen ที่จะมีทั้ง New S-Curve BCG โดยมีทิศทางเน้นด้านความยั่งยืน อุตสาหกรรมสีเขียวและสะอาดเป็นหลักสำคัญ
ดร.กิติพงศ์ พร้อมวงศ์ ผู้อำนวยการสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า ปีนี้ขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาลดลง ในขณะที่เราตั้งเป้าหมายว่าในปี พ.ศ.2570 ประเทศไทยจะลงทุนงบวิจัยให้ได้ 2 เปอร์เซนต์ ซึ่งเท่ากับว่า ภายใน 5 ปี เราจะต้องลงทุนด้านวิจัยเพิ่ม 3 แสนล้านบาทหรือปีละ 6 หมื่นล้านบาทเพื่อที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งเราจะสามารถทำได้ด้วยการใช้บริษัทที่มีนวัตกรมาขับเคลื่อน ใช้เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่มีวัฒนธรรมของเรามาใส่นวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าโดยเฉพาะงานด้านดิจิทัลคอนเทนท์ ซึ่งถ้าหันมาพัฒนาได้จะสร้างมูลค่าได้ถึง 5แสนล้านบาท รวมถึงเรื่อง Net Zero ซึ่งถ้าเราไปต่อไม่ได้ จะขยับต่อไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรากำลังทำอย่างเร่งด่วนในขณะนี้ คือ การสร้างบุคลากรและพัฒนาคนให้ตอบสนองด้านการค้าและการลงทุนเติบโตอย่างรวดเร็วโดยการทำแพลตฟอร์มและเปลี่ยนผ่านระบบการศึกษาด้วยวิธีแซนด์บ๊อกซ์ ซึ่งไม่ต้องรอจบการศึกษา 4 ปีก็สามารถเข้าไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมตามความต้องการของตลาดได้เลย