โรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาด้านการนอนหลับ แต่คือภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของผู้คนทั่วโลก โดยจากข้อมูลทางการแพทย์พบว่ามีผู้ป่วยสูงถึง 936 ล้านคนทั่วโลก และในประเทศไทยมีผู้ชายวัยกลางคนกว่า 20-30% และผู้หญิง 10-15% ที่อาจมีภาวะนี้โดยไม่รู้ตัว หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพระยะสั้น เช่น นอนหลับไม่สนิทและง่วงกลางวัน รวมถึงผลกระทบระยะยาวที่อันตรายถึงชีวิต เช่น โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, หลอดเลือดสมอง, อัลไซเมอร์ และปัญหาด้านสมรรถภาพทางเพศ
พญ. ดารกุล พรศรีนิยม แพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยาและเวชศาสตร์การนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กล่าวว่า “มีสัญญาณเตือนหลายอย่างที่ควรสังเกต เช่น เสียงกรนดังออกมานอกห้อง หรือมีภาวะหยุดหายใจชั่วขณะ รวมถึงกลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังอย่างผู้ชายซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่า ผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติ และผู้ที่ใช้ยานอนหลับเป็นประจำ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยด้วย Sleep Test เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม”
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะผู้นำด้านการแพทย์ระดับโลก ได้นำ นวัตกรรมกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้น (Hypoglossal Nerve Stimulation: HNS) หรือ “Inspire” เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษา ซึ่งนับเป็นเครื่องยืนยันในเรื่องของความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้ในระดับสากล เนื่องจากได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 และผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย (อย.) ในปี พ.ศ. 2567 และที่ผ่านมาได้ใช้นวัตกรรมนี้ในการรักษาผู้ป่วยทั่วโลกกว่า 100,000 ราย ทำให้มั่นใจได้ในความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และมีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
ศ.นพ. ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ แพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก และโสต ศอ นาสิกวิทยาการนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “นวัตกรรม HNS นี้เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถทนใช้งานเครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยขยายทางเดินหายใจด้วยแรงดันอากาศที่ส่งผ่านหน้ากาก ซึ่งเป็นวิธีรักษาหลักในปัจจุบันได้ เพราะจากสถิติพบว่ามีผู้ป่วยประมาณ 20% ที่ไม่สามารถใช้เครื่องนี้ได้เนื่องจากรู้สึกอึดอัด หรือไม่คุ้นชินกับการสวมหน้ากากนอน นวัตกรรม HNS จึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการทำงานจากภายในร่างกาย โดยไม่ต้องสวมหน้ากากหรือเป่าลม ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายและไม่รบกวนการนอนหลับ และเหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศ เพราะไม่ต้องพกพาอุปกรณ์ แบตเตอรี่ของอุปกรณ์สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 11 ปี โดยใช้งานเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง”
ศ.นพ. ชัยรัตน์ยังได้กล่าวถึงผลการศึกษาที่ยืนยันประสิทธิภาพของนวัตกรรมนี้ว่า “ผลการวิจัยทางคลินิกที่สำคัญอย่าง STAR Trial (ติดตาม 5 ปี) ยืนยันว่าการรักษาด้วย HNS ช่วยลดจำนวนครั้งของการหยุดหายใจได้จากเฉลี่ย 29.3 เหลือเพียง 9 ครั้งต่อชั่วโมง และจากฐานข้อมูล ADHERE ที่มีผู้ใช้งานกว่า 1,000 ราย พบว่า อัตราการหยุดหายใจ (Apnea Hypopnea Index: AHI) ลดลงจากเฉลี่ย 35.8 เหลือ 14.2 ใน 12 เดือน นอกจากนี้ 91% ของคู่ชีวิตผู้ป่วย รายงานว่าอาการนอนกรนดีขึ้นอย่างชัดเจน และผลลัพธ์มีความคงทนสามารถควบคุมอาการได้ต่อเนื่องกว่า 10 ปี”
นวัตกรรม HNS ประกอบด้วยอุปกรณ์ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ตัวกระตุ้น (Pulse Generator) ที่ฝังบริเวณหน้าอกด้านบนขวา, สายตรวจจับลมหายใจ (Sensing Lead) บริเวณซี่โครง และสายกระตุ้น (Stimulation Lead) บริเวณเส้นประสาทใต้ลิ้น ซึ่งทั้งหมดจะทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดโล่งได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังสามารถควบคุมการทำงานได้ง่ายด้วยรีโมทคอนโทรล
ในฐานะแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก และมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี นพ. วิชพันธ์ เหมรัญช์โรจน์ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก การผ่าตัดเนื้องอกและมะเร็งศีรษะและคอ และการผ่าตัดไซนัส โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้เน้นย้ำถึงความพร้อมของทีมแพทย์สหสาขาวิชาชีพ “ความสำเร็จของการรักษาด้วยนวัตกรรมนี้ต้องอาศัยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูง ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ขั้นตอนการคัดกรอง วินิจฉัย วางแผนการผ่าตัด ไปจนถึงการติดตามผลระยะยาว และกล่าวเสริมว่า “ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1 วันหลังการผ่าตัด และใช้ชีวิตตามปกติได้ เพราะอุปกรณ์ทำงานเงียบ และไม่ต้องกังวลเรื่องการพกพาอุปกรณ์”
ปัจจุบัน บำรุงราษฎร์พร้อมให้การรักษาด้วยนวัตกรรม HNS ซึ่งกำลังจะกลายเป็น "ทางเลือกหลัก" สำหรับผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์และไม่สามารถใช้เครื่อง CPAP ได้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาการนอนอีกต่อไป