แอร์..สกปรก อย่าคิดว่า เรื่องเล็ก จากข้อมูลของนายแพทย์ไทย ระบุว่า มีหนังสือพิมพ์ลงข่าว การตายหมู่ลึกลับ ในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ที่หลังการประชุม 2 วัน ผู้สูงวัย 221 คน ล้มป่วยด้วยโรคคล้าย ๆ ไข้หวัดใหญ่ หายใจลำบาก เป็นโรคปอดบวม และเสียชีวิต 34 คน ที่มาของโรค "ลีเจียนแนร์" โรคร้ายแรงที่ทั่วโลก..เพิ่งรู้จัก !!?
สธ. เตือนไม่ล้างแอร์ เสี่ยงป่วยโรค ลีเจียนแนร์ และ ไข้ปอนเตียก เป็นแล้วรุนแรงถึงตายได้ง่าย
อธิบดีกรมอนามัย เผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ สื่อมัลติมีเดียกรมอนามัย เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2565 ระบุว่า เตือนแอร์สกปรก ไม่ล้าง เสี่ยงป่วยโรคลีเจียนแนร์ และ ไข้ปอนเตียก
โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนไม่ล้างแอร์ เป็นเวลานาน เป็นแหล่งสะสมความชื้น ทั้งตัวแอร์ และท่อแอร์ มีผลให้เชื้อโรคเจริญเติบโต แนะควรล้างแอร์เป็นประจำ ลดความเสี่ยงโรคลีเจียนแนร์
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงที่มีอากาศร้อน ส่วนมากจะเปิดแอร์ เพื่อคลายความร้อน ตลอดทั้งช่วงเวลากลางวัน และกลางคืน อาทิ ที่ทำงาน ที่บ้าน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
แต่หากแอร์สกปรก หรือ ไม่ล้างแอร์เป็นเวลานาน ความชื้นจากตัวแอร์ และท่อน้ำทิ้ง ที่ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย, ไวรัส หรือเชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย ลีจิโอเนลลา นิวโมฟิลา (Legionella pneumophila) หากหายใจเอาฝอยละอองน้ำ ที่มีเชื้อนี้ ปนเปื้อนเข้าไป จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยลักษณะอาการที่พบมี 2 แบบ คือ
1. แบบมีอาการ ปอดอักเสบรุนแรง มีไข้สูง, ไอ, หนาวสั่น เรียกว่า “โรคลีเจียนแนร์ (LEGIONELLOSIS)”
2. แบบมีอาการ คล้ายไข้หวัดใหญ่ เรียกว่า “ไข้ปอนเตียก (PONTIAC FEVER)”
ดังนั้น จึงควรมีการล้าง ทำความสะอาดแอร์เป็นประจำ โดยดูตามความเหมาะสม จากสภาพแวดล้อม และการใช้งาน หากเป็นแอร์ตามบ้านควรล้างแผ่นกรองอากาศ ด้วยน้ำสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค โดยใช้น้ำฉีดแรง ๆ ที่ด้านหลัง และด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ...ให้ฝุ่น และสิ่งสกปรกหลุดออก อย่างน้อยเดือนละครั้ง และควรล้างแอร์แบบเต็มระบบ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเช่นเดียวกัน
แต่หากใช้เป็นประจำทุกวัน ควรล้างทำความสะอาด ประมาณ 6 เดือนต่อครั้ง เพื่อช่วยลดเชื้อโรค ที่อาจสะสมอยู่ในแอร์ และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ อีกทางหนึ่งด้วย
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับการล้างแอร์ แบบระบบรวม ควรเปิดน้ำทิ้ง จากหอหล่อเย็น ให้แห้งเมื่อไม่ได้ใช้... ให้ทำความสะอาด ขัดถูคราบไคล ตะกอน เติมน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดหอหล่อเย็น อย่างน้อย 1 - 2 ครั้งต่อเดือน ไม่ให้มีตะไคร่เกาะ ทำลายเชื้อโดยใส่คลอรีน ให้มีความเข้มข้น 10 ppm เข้าท่อที่ไปหอผึ่งเย็นให้ทั่วถึง ทั้งระบบไม่น้อยกว่า 3 - 6 ชั่วโมง
หลังจากนั้น รักษาระดับคลอรีน ให้ความเข้มข้นไม่น้อยกว่า 0.2 ppm และสำหรับแอร์ในห้องพัก ต้องทำความสะอาด ถาดรองน้ำที่หยด จากท่อคอยส์เย็นทุก 1 - 2 สัปดาห์ ไม่ให้มีตะไคร่เกาะ หรือใส่น้ำยาฆ่าเชื้อโรค ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวเสริมอีกว่า ตามมาตรฐาน ประกาศกรมอนามัย เรื่อง ข้อปฏิบัติการควบคุม เชื้อลีจิโอเนลลา ในหอผึ่งของอาคาร ในประเทศไทย และสำหรับแอร์ ที่ใช้ตามบ้านเรือน เมื่อเปิดแอร์ควรสังเกตว่า อากาศที่ออกมาจากแอร์ มีกลิ่นเหม็น หรือมีกลิ่นอับหรือไม่ ?
หากมีกลิ่น ในเบื้องต้น ควรล้างทำความสะอาด แผ่นกรองอากาศ ที่อยู่ในแอร์ ด้วยน้ำสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หากล้างทำความสะอาดแล้ว กลิ่นไม่หาย ควรเรียกช่าง เพื่อทำความสะอาดแบบเต็มระบบ
คดีการเสียชีวิตหมู่ลึกลับ ที่มาของต้นกำเนิดโรคอุบัติใหม่ โรคลีเจียนแนร์
นอกจากนี้ Backbone MCOT มีข้อมูลประวัติความเป็นมาเบื้องต้น ของโรคลีเจียนแนร์ จากเว็บไซต์ สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ ที่เปิดเผยไว้ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2558 โดยระบุว่า
โรคอุบัติใหม่ ที่เกิดจากเชื้อ ลีเจียนเน็ลลา หรือ ลีเจียนเน็ลโลสิสนี้ มีรายงานพบประปราย ในกลุ่มประเทศทางยุโรป, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โรคนี้นับเป็น โรคที่ติดต่อได้ง่าย เนื่องจากมีเชื้อโรคชุกชุม อยู่ในสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวมนุษย์ เป็นแล้วรุนแรงถึงตายได้ง่าย การวินิจฉัย ก็ดำเนินไปไม่ง่ายนัก ทางสหภาพยุโรป จึงมีการจัดตั้ง ชมรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับโรคนี้ (European Working Group for Legionella Infections - EWGLI) คอยติดตาม การอุบัติของโรค ติดตามข่าวการระบาด ในระหว่างปี พ.ศ. 2538 - 2548 ซึ่งพบรายงาน การระบาดจากทั่วโลกกว่า 600 ครั้ง มีผู้ป่วยมากถึง 32,000 ราย
มาทำความรู้จักกับ โรคอุบัติใหม่ เช่น โรคลีเจียนเน็ลโลสิส ในหนังสือเรื่อง “ระบาดบันลือโลก เล่ม 4” ของศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ทองเจริญ ได้กล่าวถึงกำเนิดของโรค และช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดไว้ อย่างน่าสนใจ คือ
การอุบัติขึ้นของ โรคลีเจียนเน็ลโลสิส เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2519 ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2519 มีหนังสือพิมพ์ลงข่าว การตายหมู่ลึกลับ ในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา เหตุเกิดที่โรงแรมเบลเลวิว สแตรทฟอร์ท โฮเตล ในนครฟิลาเดลเฟีย รัฐเพ็นซิลเวเนีย ขณะมีการประชุมประจำปีของ สมาคมสหายสงครามอเมริกัน (American Society of Legionnaires) เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง 200 ปี อเมริกาไปพร้อมกันด้วย แต่เมื่อการประชุม ผ่านไปเพียง 2 วัน ปรากฏว่า มีสมาชิกของสมาคม ซึ่งเป็นผู้สูงวัยทั้งนั้น จำนวน 221 คน ล้มป่วยด้วยโรคคล้าย ๆ ไข้หวัดใหญ่ มีอาการเจ็บหน้าอก, หายใจติดขัด, หายใจลำบาก, แพทย์วินิจฉัยว่า เป็นโรคปอดบวม และเสียชีวิตไป 34 คน
เหตุก่อโรค หรือ ฆาตกรนั้น ได้รับการเปิดเผยโฉมหน้าว่า เป็นเชื้อจุลชีพ หรือเชื้อแบคทีเรีย ตัวเล็ก ๆ ชนิดหนึ่ง เป็นชนิดที่ไม่เคยมีผู้ใดรู้จักมาก่อน จึงมีการให้สมญานามว่า ลีเจียนเน็ลลา นิวโมฟิลา (Legionella , pnemo – ปอด, phila – Philadelphia)โรคที่เกิดขึ้น นับเป็นโรคใหม่ เป็นโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ จึงต้องมีการขนานนามกันขึ้นมาใหม่ โดยตกลงให้ชื่อโรคว่า “Legionnellosis หรือ Legionnaire’s disease ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่แอบซุ่มตัวขยายแพร่พันธุ์ อยู่ที่หอผึ่งเย็น ของระบบเครื่องปรับอากาศ ของโรงแรมแห่งนั้น พัดลมของหอผึ่งเย็น หมุนด้วยความแรง ทำให้น้ำของระบบ กระเด็นกระจายเป็นละอองฝอยเชื้อจุลชีพ ก็ติดมาตามละอองฝอย เข้าไปแพร่กระจายทั่วไป ในโรงแรมแห่งนั้น
เมื่อสรุปกันว่า โรคที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า ลีเจียนแนร์ (Legionnaire disease) หรือ ลีเจียนเน็ลโลสิส (Legionellosis) ซึ่งมีอาการทางคลินิก แตกต่างกันได้ 2 แบบ คือ
แบบแรก เรียกชื่อว่า “ไข้ปอนเตียก (Pontiac fever)” มีอาการเหมือนไข้หวัด ไม่มีภาวะปอดอักเสบ จึงไม่รุนแรง และหายได้เองใน 2 - 5 วัน จึงไม่จำเป็นต้องให้การรักษา
แบบที่ 2 จะรุนแรงกว่า โดยมีภาวะปอดอักเสบ แบบปอดอักเสบทั้งกลีบ ปอดและถุงลมถูกทำลาย โดยมีระยะฟักตัว 2 - 10 วัน เริ่มอาการด้วยไข้สูง, หนาวสั่น, ปวดศีรษะ, อ่อนเพลียมาก, เบื่ออาหาร, ไอ, ไอแห้ง ๆ หรือ ไอมีเสมหะก็พบ, หายใจขัด, อาจมีอุจจาระร่วง, อาเจียน และมีอาการทางประสาท, เดินสะเปะสะปะ ปอดอักเสบที่จัดอยู่ในรูปแบบนี้ เรียกว่า “ปอดอักเสบ นอกรูปแบบ” หรือที่เรียกว่า atypical pneumonia อาการปอดอักเสบที่เกิดขึ้น มีตั้งแต่ชนิดเฉียบพลัน จนถึงชนิดเรื้อรัง
ย้อนประวัติสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ ลีเจียนแนร์ ในประเทศไทย
สำหรับข้อมูลจากเว็บไซต์ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับโรคลีเจียนแนร์ (LEGIONELLOSIS) เปิดเผยถึง สถานการณ์โรคนี้ ในประเทศไทยว่า มีรายงานการพบผู้ป่วย โรคลีเจียนแนร์ครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2527 โดยเป็นผู้ป่วยชาวไทย ต่อมาพบ ผู้ป่วยชาวต่างชาติจากยุโรป ที่ป่วยเป็นโรคลีเจียนแนร์ เกือบทุกปี แต่มีจำนวน ไม่มาก เช่น
ในปี พ.ศ. 2542 พบผู้ป่วยจำนวน 3 ราย ที่จังหวัดเชียงใหม่ และในปี พ.ศ. 2553 พบผู้ป่วยเป็นนักท่องเที่ยว ชาวสกอตแลนด์ ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีประวัติเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และสูบบุหรี่จัดร่วมด้วย
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลการรายงาน โรคจากหน่วยงานต่างประเทศ เช่น European Working Group for Legionella Infection (EWGLI) Network ซึ่งเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง และควบคุม โรคลีเจียนแนร์ ในระหว่างกลุ่มสมาชิกรวม 29 ประเทศ ซึ่งเมื่อประเทศในกลุ่มสมาชิก พบผู้ป่วย ตั้งแต่ 2 ราย ที่เดินทางมาท่องเที่ยวต่างประเทศ และพักอยู่โรงแรมเดียวกัน (โดยพิจารณาจาก ระยะฟักตัวของโรค) จะมีการดำเนินการ แจ้งข้อมูลไปยัง หน่วยงานสาธารณสุข ของประเทศที่เกิดเหตุ และหน่วยงานสาธารณสุข ของแต่ละประเทศ ในเครือสมาชิก
จากข้อมูลการเฝ้าระวังของ EWGLI ระบุว่า ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อ จากโรงแรมในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2536 - 2553 มีจำนวน 109 ราย ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว จากภูมิภาคต่าง ๆ ได้ทั่วโลก ดังนั้น จึงได้มีมาตรการควบคุม และป้องกันการติดเชื้อ โดยการแจ้งให้โรงแรม และบริษัทธุรกิจ ดูแลทำความสะอาด ระบบเครื่องปรับอากาศ และนํ้าหล่อเย็น รวมถึงการเฝ้าระวัง ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้สูบบุหรี่ นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรกวดขัน เรื่องมาตรการการป้องกัน ควบคุมโรคอย่างเข้มแข็ง กับธุรกิจโรงแรม สปา ให้มีการทำความสะอาด และฆ่าเชื้อในระบบนํ้า ทั้งโรงแรม โดยเฉพาะในท่อส่งนํ้า เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อ
สาธารณสุขไทย แนะวิธีสังเกต รู้ก่อน รักษาได้ ไม่ติดต่อจากคนสู่คน
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ระบุถึง โรคลีเจียนแนร์ ไม่ใช่โรคใหม่ แนะสถานประกอบการ หมั่นดูแล และทำความสะอาด เครื่องปรับอากาศเป็นประจำ
นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคลีเจียนแนร์ ไม่ใช่โรคใหม่ สามารถพบได้ทั่วโลก ทั้งเขตร้อน และเขตหนาว มีเชื้อลีจิโอเนลลา (Legionella) เป็นเชื้อก่อโรค โดยเชื้อจะปนเปื้อน มากับละอองน้ำ และเข้าสู่ทางเดินหายใจ เชื้อชนิดนี้ มักพบในบริเวณที่มีน้ำขังนิ่ง มีความชื้นสูง และมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่มักจะพบ ในระบบเครื่องปรับอากาศ หรือถังเก็บน้ำระบายความร้อน ที่ใช้ในอาคารขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในโรงแรม นอกจากนี้ ยังสามารถพบได้ในก๊อกน้ำ เครื่องทำน้ำร้อน และฝักบัวอาบน้ำ ที่ไม่มีการดูแล รักษาความสะอาดอย่างถูกต้อง
จากรายงานการเฝ้าระวัง ทางระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่า ในประเทศไทย มีรายงานพบโรคนี้ประปราย ล่าสุดพบผู้ป่วยโรคนี้ จำนวน 2 ราย ในปี 2558 โดยผู้ป่วยเป็นชาวต่างชาติ ที่มีประวัติพักโรงแรมเดียวกัน ซึ่งผลการตรวจวัด ระดับคลอรีนตกค้าง ในน้ำใช้ของโรงแรมดังกล่าว มีระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน รวมถึงมีระดับความร้อน ในน้ำร้อนต่ำกว่ามาตรฐานด้วย
นายแพทย์เจษฎา กล่าวต่อไปว่า โรคนี้ สามารถรักษาได้ และโดยปกติทั่วไป โรคนี้ ไม่ติดต่อจากคนสู่คน ประชาชนทั่วไป ที่มีร่างกายแข็งแรง จะไม่มีอาการป่วยใด ๆ
สำหรับกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ และผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง
อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุชาวไทย ไม่ค่อยมีการเดินทางท่องเที่ยว และพักค้างในโรงแรม โอกาสได้รับเชื้อ และเจ็บป่วย จึงมีน้อย ที่สำคัญโรงแรมส่วนใหญ่ ในประเทศไทย โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทุกแห่ง มีมาตรการในการควบคุม เชื้อก่อโรคลีเจียนแนร์ ตามมาตรฐานที่กำหนด ตามพระราชบัญญัติสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค ก็ได้เฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์ในเรื่องนี้ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
ส่วนอาการป่วย จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ อาการเบา จนถึงหนัก
โดยอาการเบา จะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไอ คลื่นไส้อาเจียน ในทางการแพทย์ เรียกว่า โรคไข้ปอนเตียก (Pontiac fever)
แต่หากเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ไปที่ปอด ทำให้ปอดอักเสบ มีไข้สูง ไอ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย และอาจเป็นสาเหตุ ทำให้เสียชีวิต จะเรียกว่า โรคลีเจียนแนร์
ทั้งนี้ หากนักท่องเที่ยว มีอาการเจ็บป่วย คล้ายกับอาการที่กล่าวมา หลังกลับจากท่องเที่ยว ขอให้นึกถึงโรคลีเจียนแนร์ และให้ไปพบแพทย์ แจ้งประวัติให้แพทย์ทราบ เพื่อให้การวินิจฉัยโรค และรักษาอย่างถูกต้อง ***ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ ก็หายขาด*** หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร 1422 (ที่มา : เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข)
ข้อมูลเพิ่มเติม โรคลีเจียนแนร์ และ ไข้ปอนเตียก
เอกสาร : การควบคุม เฝ้าระวัง ปัญหาการแพร่ระบาด โรคลีเจียนแนร์ และ ประกาศกรมอนามัย เรื่อง ข้อปฏิบัติการควบคุม เชื้อลีจิโอเนลลา ในหอผึ่งเย็นของอาคารในประเทศไทย (ข้อมูล สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม)
คลิกอ่าน >> (เอกสาร : การควบคุมฯ โรคลีเจียนแนร์ และประกาศกรมอนามัยฯ)
อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก :
เว็บไซต์ : กระทรวงสาธารณสุข
https://moph.go.th
เว็บไซต์ : กรมอนามัย
https://anamai.moph.go.th/th
เฟซบุ๊ก : กรมอนามัย
https://www.facebook.com/anamaidoh
เว็บไซต์ : สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://ghh.anamai.moph.go.th
เว็บไซต์ : สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ
https://www.hfocus.org
เว็บไซต์ : สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย
https://www.pidst.or.th
25 เม.ย 2565
1700 views
ขนาดตัวอักษร
อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย