หลังจากบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วม ครั้งที่2 ระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิล แอ็คเช็ส คอมมูนิเคชัน จำกัด (มหาชน) (DTAC)ได้อนุมัติการควบบริษัทระหว่าง TRUEและ DTAC ตามหลักมาตรา 148 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัดพ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 และบริษัทฯได้รับแจ้งจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ที่ได้รับจดทะเบียนการควบบริษัทแล้ว ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 ส่งผลให้บริษัทและ DTAC หมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคล พร้อมกับบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบบริษัท กล่าวคือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
บริษัท โทเทิล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชัน จำกัด (มหาชน) เกิดขึ้นในปี 2532 ชื่อแรกคือ TAC มาจาก Total Access Communication Public Company Limited เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการ โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยแทคทำธุรกิจสื่อสารมาอย่างยาวนาน จนเมื่อ กลุ่ม เทเลนอร์ เข้ามาซื้อหุ้นจาก ตระกูลเบญจรงคกุล "แทค" จึงเปลี่ยนเป็น "ดีแทค" ในเดือนมีนาคม 2544 ต่อมา ผู้ถือหุ้นใหญ่ในยูคอมซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแทค ได้ขายหุ้นให้กับเทเลนอร์ในช่วงปลายปี2548
ดีแทค เป็นผู้ให้บริการสื่อสารท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดรุนแรงมาอย่างยาวนาน ผ่านการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 3 G มา 4G จนถึงยุค5G ที่ตลาดโทรคมนาคมไม่เหมือนในอดีต การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมโทรคมนาคม รายได้ที่ลดลง การลงทุนเพิ่มสูงขึ้นเมื่อมีการประมูลคลื่นความถี่เพื่อรับ 5G ดีแทคแสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังในการลงทุน
จนปลายปี 2564 ข่าวลือ การรวมกิจการ เริ่มชัดเจน สำนักข่าวต่างประเทศ ลงข่าว กลุ่มเทเลนอร์และเครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังพูดคุยเรื่องการควบรวมกิจการ ดีลที่เกิดขึ้นมีมูลค่าสูงถึง 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้ววันที่คนดีแทคไม่อยากให้มาถึงก็มาถึงจนได้
บรรยากาศที่สำนักงาน ดีแทค บนตึกจามจุรีสแควร์ คนดีแทค ยังคงทำงานตามปกติ เพื่อรักษาคุณค่าของแบรนด์ ดีแทค ให้เป็นไปตามพันธสัญญาที่ดีแทคให้กับผู้บริโภค พรักงานดีแทครวมกลุ่มกันใส่เสื้อดีแทค ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เสียงสะท้อนของพนักงานที่อยู่กับดีแทค คือ การทุ่มเททำงานตลอด 20 กว่าปี จนถึงวินาทีสุดท้าย แม้จะไม่มีชื่อดีแทคในชื่อของบริษัท ความทรงจำของผู้บริโภคยังคงอยู่ ชื่อแบรนด์ ดีแทค ไม่ได้หายไปไหน ใบพัดสีฟ้ายังคงหมุนต่อไป จนกว่าจะไม่มีลมหนุนให้ใบพัดหมุนได้อีกต่อไป