“ปดิพัทธ์” ประกาศร่วมงานพรรค เป็นธรรม เหตุอุดมการณ์และแนวทางการทำงานมีความใกล้เคียงกัน ยืนยันเดินหน้าสร้างสภาโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นของประชาชน ฝั่ง “กัณวีร์” ย้ำชัดพรรคเป็นธรรมไม่ใช่สาขาพรรคก้าวไกล
ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 แถลงยืนยันการร่วมพรรคเป็นธรรม พร้อมด้วย ปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม และ กัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรคเป็นธรรม
ปดิพัทธ์ กล่าวว่า หลังอดีตพรรคมีมติขับตนออกจากสมาชิกพรรคเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำฝ่ายค้าน จึงได้ตัดสินใจเข้าพรรคเป็นธรรม ด้วยเหตุผลเรื่องอุดมการณ์และแนวทางการทำงานมีความใกล้เคียงกันมากที่สุดกับอดีตพรรค ไม่ว่าจะเป็นอนาคตใหม่หรือก้าวไกล โดยต้องขอขอบคุณหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเป็นธรรมที่จริงใจเปิดรับ เพราะตระหนักดีว่าการทำงานของตนต้องเผชิญแรงเสียดทาน ไม่ว่าจะเป็น การปฏิรูปสภาให้โปร่งใส การผลักดันวาระก้าวหน้า ซึ่งได้หารือกับพรรคเป็นธรรมแล้ว พรรคยินดีสนับสนุนแนวทางนี้ เพื่อให้สภาผู้แทนฯ มีความก้าวหน้า โดยวันนี้ยังไม่มีการสมัครในทางกฎหมาย เพราะต้องรอหนังสือยืนยันการพ้นจากสมาชิกภาพจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อน คาดว่าจะมาถึงเร็วๆ นี้ จากนั้นจึงสมัครเข้าพรรคเป็นธรรมอย่างเป็นทางการต่อไป
ปดิพัทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการทำงานของรองประธานสภาฯ บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนว่าต้องมีความเป็นกลาง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เมื่อตนอยู่พรรคใดพรรคหนึ่งแล้ว จะทำให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบ การทำงานทั้งหมดของตน ทั้งการบรรจุกฎหมาย การพิจารณาร่างการเงิน การดำเนินการรับฟังความเห็นของประชาชน จะอำนวยการให้ทุกพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียมกัน และตนจะไม่ได้เข้าร่วมการประชุมของพรรคเป็นธรรม หรือเข้าไปมีส่วนร่วมในวิปฝ่ายค้าน แต่จะทำงานร่วมกับประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ คนที่ 2 นอกจากนี้ อีกด้านที่จะทำงาน คือคณะกรรมการที่พิจารณาเกี่ยวกับไอซีทีของสภาฯ โดยตนจะทำงานร่วมกับรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ดังนั้น ยืนยันว่าจะทำงานในลักษณะเดิม ไม่ว่าสังกัดพรรคการเมืองใดก็ตาม
ส่วนเรื่องแรงเสียดทานทางการเมือง เชื่อว่าคงมีอยู่ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจรับสภาฯ ซึ่งมีมหากาพย์รออยู่ รวมถึงอีกหลายเรื่องที่ต้องทำให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น ดังนั้น มีแต่ความท้าทายรออยู่ แรงเสียดทานคงไม่ได้น้อยลง แต่เชื่อว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
ด้าน ปิติพงศ์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของพรรคเป็นธรรม เรามีความภูมิใจและได้รับเกียรติจากรองประธานสภาฯ มาร่วมงานกัน พรรคเป็นธรรมนั้นมีแนวทางที่ชัดเจนในการเดินตามอุดมการณ์ ได้แก่ ประชาธิปไตย ประเทศชาติ ประชาชน ด้วยความเป็นธรรม ดังนั้น เมื่อทำงานร่วมกันกับรองประธานสภาฯ ก็หวังอย่างยิ่งว่าการทำงานของพรรคหลังจากนี้ จะมีบริบทด้านการบริหารกิจการสภาเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
.
สำหรับขั้นตอนการสมัครสมาชิกพรรคหลังจากนี้ เมื่อปดิพัทธ์ได้ส่งเอกสารสมัครสมาชิกพรรค จะมีนายทะเบียนพรรคเป็นผู้รับมอบใบสมัครและตรวจสอบคุณสมบัติตามกฎหมาย จากนั้นจะเข้าสู่การรับรองของคณะกรรมการบริหารพรรค เหตุผลที่ต้องมีขั้นตอนนี้ เพราะปดิพัทธ์ไม่ใช่สมาชิกทั่วไป มีตำแหน่งรองประธานสภาฯ จึงต้องให้กรรมการบริหารพรรคเป็นผู้รับทราบตามข้อบังคับของพรรคเป็นธรรม
โดยในวาระที่ปดิพัทธ์ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ ได้พูดคุยกันแล้วว่าปดิพัทธ์จะไม่สามารถเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือมีตำแหน่งใด ๆ ในพรรคได้ จะสนับสนุนการทำงานของพรรคในนามสมาชิกพรรคเท่านั้น
“ผมอยากเห็นการเมืองในลักษณะนี้ คือการย้ายพรรคของนักการเมืองคนใด ไม่ได้มีเรื่องอามิสสินจ้าง แต่เป็นการย้ายพรรคด้วยอุดมการณ์ โดยพรรคเป็นธรรมพร้อมสนับสนุนการทำให้สภาฯ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งรองประธานสภาฯ ได้เชิญผมเป็นที่ปรึกษาฯ และผมตอบรับแล้ว” ปิติพงศ์ กล่าว
ส่วน กัณวีร์ กล่าวว่า การทำงานของพรรคเป็นธรรมนั้นชัดเจน ในการทำการเมืองที่ตรงไปตรงมา ไม่บิดเบี้ยว เราจะทำให้ทุกคนเห็นว่าต่อไปนี้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยจะสามารถปักหลักปักธง ปดิพัทธ์จะทำหน้าที่รองประธานสภาคนที่ 1 ด้วยความโปร่งใส เป็นกลาง และเป็นธรรม ไม่มีการเลือกข้าง เป็นการทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้านเชิงรุกที่จะตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของรัฐบาล ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่เป็นสิ่งที่เรามุ่งหวังและประชาชนจะเห็นต่อไปเร็ว ๆ นี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเป็นธรรมจะถูกมองเป็นพรรคสาขาของพรรคก้าวไกลหรือไม่ กัณวีร์ กล่าวว่า ตอนหาเสียง พรรคก้าวไกลและพรรคเป็นธรรมก็แข่งขันกันมา ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราชัดเจนว่าร่วมอุดมการณ์กันก็จริง แต่เรื่องการหาเสียงหรือการทำงานทางการเมืองนั้น พรรคเป็นธรรมเรามีจุดยืนของตัวเอง ทำให้ประชาชนเห็นชัดเจนว่าเราไม่ใช่พรรคสาขา แต่เราทำงานเป็นตัวเลือกให้พี่น้องประชาชน ดังนั้น เชื่อว่าพรรคสาขาไม่น่าจะเป็นคำถามของสังคม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือการทำงานของพรรคร่วมอุดมการณ์ ในการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นสิ่งที่ประชาชนจะมั่นใจและภูมิใจในการทำงานของเราได้