ศูนย์จีโนมฯ รพ.รามาธิบดี เร่งพัฒนาชุดตรวจโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย “BA.2.75” เป็นไปได้สูงว่า จะระบาดแทน BA.5 พร้อมคาดว่า การรักษาโควิด-19 กำลังจะเปลี่ยนไป เป็นการรักษาเฉพาะบุคคล ตามชนิดของสายพันธุ์ไวรัส ที่ผู้นั้นติดเชื้อ
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 เปิดเผยว่า
ชุดตรวจโควิด 10 สายพันธุ์ ส่วนหนึ่งของการแพทย์แม่นยำ ในการรักษาโควิด-19 : ตรวจจีโนมไวรัส สแกนยีนผู้ติดเชื้อ ขณะนี้ มีความจำเป็นต้องตรวจกรอง สายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ไม่น้อยกว่า 10 สายพันธุ์ ให้ได้ในหลอดเดียว หรือ "single tube reaction" เพื่อให้ทราบผลการตรวจอย่างรวดเร็ว ในเวลา 24 - 48 ชั่วโมง ทันต่อการควบคุม ป้องกัน รวมถึงการรักษาโรคโควิด-19 ด้วยยาต้านไวรัส และแอนติบอดีสังเคราะห์
คาดว่า การรักษาโควิด-19 ที่เหมือนกันทุกคนในอดีต (one-size-fits-all ) กำลังจะเปลี่ยนไป เป็นการรักษาเฉพาะบุคคล (personalized medicine) ตามชนิดของสายพันธุ์ไวรัส ที่ผู้นั้นติดเชื้อ และพันธุกรรมของแต่ละคน เกิดการรักษาในรูปแบบของ การแพทย์แม่นยำ (Precision medicine) ที่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
+ 5 สายพันธุ์แรก เป็นสายพันธุ์ ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะระบาด ในอนาคตอันใกล้ คือ BA.2, BA.4, BA.5, BA.2.12.1 รวมทั้ง BA.2.75
+ 5 สายพันธุ์ที่ 2 เป็นสายพันธุ์ ที่เคยระบาดมาในอดีต คือ อัลฟา, เบตา, แกมมา, เดลตา, โอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 ซึ่งต้องเฝ้าระวัง การย้อนกลับมาระบาดซ้ำ
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี เร่งพัฒนาชุดตรวจโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย “BA.2.75” ที่มีความเป็นไปได้สูงว่า จะแพร่ระบาดมาแทนที่ BA.5 รวมทั้งบรรดาโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย ที่ระบาดมาก่อนหน้านี้ ให้แล้วเสร็จในสองอาทิตย์จากนี้ เพื่อพร้อมใช้ตรวจกรอง หากมีการระบาดในประเทศไทย เพื่อให้แพทย์ผู้รักษาทราบได้ว่า คนไข้ที่กำลังรักษา ติดเชื้อสายพันธุ์ใด เป็นเชื้อมีจีโนมสมบูรณ์ แพร่ติดต่อได้ หรือเป็นเพียงซากเชื้อ ที่ไม่ติดต่อแล้ว
+ สามารถตรวจรู้ผลได้ภายใน 24 - 48 ชั่วโมง โดยมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า การตรวจ RT PCR เพียงเล็กน้อย
+ คุณสมบัติ เป็นการตรวจหาสายพันธุ์ หลังทราบผลการตรวจ ATK หรือ PCR ของผู้ติดเชื้อรายนั้นว่า ให้ผลเป็นบวก
1. สามารถบ่งชี้สายพันธุ์ ของไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อการป้องกัน และรักษาไปพร้อมกัน ในหลอดเดียว (single tube reaction) ได้แก่
+ โอไมครอน “B.1.1.529 “ (VOC): BA.1, BA.2, BA.4, BA.5, BA.2.12.1, และ **BA.2.75**
+ เดลตา “B.1.617.2” (VOC)
+ อัลฟา “B.1.1.7 “ (VOC)
+ เบตา “B.1.351” (VOC)
+ แกมมา “B.1.1.28 หรือ P1” (VOC)
2. เนื่องจากมีการตรวจสอบ ตำแหน่งพันธุกรรมกว่า 40 ตำแหน่ง บนจีโนมทั้งสายพร้อมกัน ทำให้สามารถใช้บ่งชี้ได้ว่า “จีโนมของไวรัส ยังสมบูรณ์” แพร่ติดต่อได้ หรือ “แตกหัก”กลายเป็น “ซากเชื้อ” ที่ไม่ติดต่อแล้ว พร้อมไปกับการตรวจหาสายพันธุ์ในข้อ 1.
เทคโนโลยี “MassArray Genotyping” เป็นการใช้แสงเลเซอร์ ยิงไปยังตัวอย่าง สารพันธุกรรมของไวรัส ที่อยู่ในหลอดสุญญากาศ เกิดการกระเจิง เป็นไอออนของเบสแต่ละตัว (A,T, G, หรือ C) จากนั้น ไอออนจะถูกเหนี่ยวนำ ด้วยไฟฟ้ากระแสตรง ให้วิ่งด้วยความเร็วสูง ตรงไปยังตัวตรวจจับ (ion detector) ซึ่งจะถอดสัญญาณออกมา เป็นรหัสพันธุกรรม A T G และ C
หมายเหตุ: อ่านเพิ่มเติม "สแกนยีนผู้ติดเชื้อ" ได้จาก https://bit.ly/QandA_6
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2565 ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผอ.กลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์ และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Anan Jongkaewwattana กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 ระบุว่า
คาดว่า อีกไม่นานไวรัสสายพันธุ์ BA.2.75 จะมีการพูดถึงในสื่อมากขึ้นครับ ข้อมูลตอนนี้ พบไวรัสสายพันธุ์นี้ ในอินเดียเป็นส่วนใหญ่ แต่พบว่า หลายประเทศมีการรายงาน ไวรัสสายพันธุ์นี้แล้ว เช่น ในสหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา ไวรัสสายพันธุ์นี้ ได้รับความสนใจด้วยเหตุผล 2 ประการหลัก ๆ คือ
1. เป็น BA.2 ที่มีการกลายพันธุ์เพิ่มถึง 9 ตำแหน่ง บนโปรตีนหนามสไปค์ (เทียบกับ BA4 / BA5) แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ 493 (R493Q) เป็นการเปลี่ยนกลับจากโอมิครอน ไปเหมือนสายพันธุ์ดั้งเดิม ทำให้บางคนนับว่าเป็น 8 ตำแหน่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง ที่มากกว่าปกติ โดยเฉพาะตำแหน่งที่ 446 ซึ่งเปลี่ยนจาก G (Glycine) ไปเป็น S (Serine) G446S เคยมีคนพูดถึงว่า เป็นตำแหน่งที่ทำให้ไวรัส หนีภูมิจากการจับของแอนติบอดีได้มากขึ้น
2. ข้อมูลของ จำนวนตัวอย่างไวรัส ที่ถอดรหัสในอินเดีย พบการเพิ่มจำนวนของสายพันธุ์นี้ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะใน รัฐมหาราษฎระ ซึ่งถ้าจำได้เป็นถิ่นกำเนิดของ สายพันธุ์อย่างเดลต้ามาก่อน มีผู้พยายามเปรียบเทียบ ความสามารถของ BA.2.75 กับ BA.5 ในการแพร่กระจาย มีแนวโน้มว่า BA.2.75 จะวิ่งได้ไวกว่า แต่เนื่องจากตัวอย่าง ยังมีไม่มาก ทำให้ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูลยังมีน้อย
ทั้งนี้ ยังไม่มีประเด็น เรื่องของความรุนแรง ของเชื้อชนิดนี้ออกมา คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดครับ
#BackboneMCOT
อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก :
เฟซบุ๊ก : Center for Medical Genomics
(ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล)
https://www.facebook.com/CMGrama
เฟซบุ๊ก : Anan Jongkaewwattana (ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา)
https://www.facebook.com/anan.jongkaewwattana
7 ก.ค. 2565
630 views
ขนาดตัวอักษร
อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย