5 มิ.ย.68 - 5 มิถุนายน “วันสิ่งแวดล้อมโลก” กับภารกิจศึกษาและวิจัยทางทะเล ที่คนอุทยานแห่งชาติฯ ทำให้ “ทะเลไทยในวันนี้ เพื่อทะเลไทยในวันพรุ่งนี้”
5 มิถุนายน ของทุกปี ทั่วโลกและประเทศไทย พร้อมใจกันยกให้วันนี้เป็น “วันสิ่งแวดล้อมโลก” ที่มาร่วมมือกันดูแลสิ่งแวดล้อมและตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งปี 2025 นี้ องค์การสหประชาชาติได้กำหนดหัวข้อ “Beat the Plastic Waste” หรือ “การต่อสู้กับขยะพลาสติก” เพื่อเน้นย้ำถึงวิกฤติของปัญหาขยะพลาสติกที่กำลังคุกคามทั้งสิ่งแวดล้อม สัตว์ป่า สุขภาพมนุษย์ และระบบนิเวศทั่วโลก
ขณะที่กรมอุทยานแห่งชาติ เป็นอีกหน่วยงานที่มีภารกิจหลักสำคัญที่ต้องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของไทย ส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ ที่เป็นเบื้องหลังจากความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ การฟื้นฟูทรัพยาการ โดยเฉพาะทรัพยากรในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล นั่นก็คือการปฏิบัติงานด้านการศึกษาและวิจัยทรัพยากรธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติทางทะเล ซึ่งเป็นงานด้านวิชาการที่ใช้ในการสนับสนุนการกำหนดมาตรการจัดการพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ทำให้หน่วยงานมีข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจบนหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ได้รับการยอมรับ ลดความเสี่ยงต่อการทำลายระบบนิเวศ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมจำเป็น และเป็นข้อมูลสนับสนุนในการดำเนินโครงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในพื้นที่ ดังเช่น
🏝️การกำหนดเขตพื้นที่ (Zoning) การกำหนดขีดความสามารถในการรองรับได้ของพื้นที่ด้านนันทนาการ (Carrying Capacity) การควบคุมการท่องเที่ยว การเปิดและปิดอุทยานแห่งชาติ การฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น ปะการัง หญ้าทะเล สัตว์ทะเลหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ รวมทั้งการจัดการชนิดพันธุ์ที่รุกราน
🕵️♂️ งานด้านการสำรวจ ติดตามและประเมินผลสภาพแวดล้อมทางทะเลที่ทำอย่างต่อเนื่อง ทำให้หน่วยงานรับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศได้ทันท่วงที ทำให้สามารถวางแผนเพื่อป้องกันปรากฏการณ์ผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เป็นการเฝ้าระวังและเตือนภัยป้องกันความเสียหายที่อาจลุกลามและขยายเพิ่มขึ้นได้ เช่น การติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพชายหาด เป็นต้น
🌊🐳 ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเล เป็นหน่วยงานในสังกัดส่วนอุทยานแห่งชาติทางทะเล สำนักอุทยานแห่งชาติ ที่รับผิดชอบงานด้านการศึกษาและวิจัยทรัพยากรธรรมชาติในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล ซึ่งมีทั้งสิ้น 5 ศูนย์ ดังนี้
🦀ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 1 จังหวัดชุมพร รับผิดชอบดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอ่าวไทยตอนบนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และชุมพร และฝั่งอันดามันตอนบนในจังหวัดระนอง ได้แก่ 1) อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด 2) อุทยานแห่งชาติหาดวนกร 3) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร 4) อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม 5) อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี 6) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง และ 7) อุทยานแห่งชาติแหลมสน
🐠ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต รับผิดชอบดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามันตอนบนในจังหวัดพังงาและภูเก็ต ได้แก่ 1) อุทยานแห่งชาติเขาหลัก – ลำรู่ 2) อุทยานแห่งชาติเขาลำปี–หาดท้ายเหมือง 3) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ 4) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน 5) อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา และ 6) อุทยานแห่งชาติสิรินาถ
🐙ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 3 จังหวัดตรัง รับผิดชอบดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามันตอนล่างในจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล ได้แก่ 1) อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี 2) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา 3) อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี 4) อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม 5) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา 6) อุทยานแห่งชาติตะรุเตา และ 7) อุทยานแห่งชาติทะเลบัน
🐬ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 4 จังหวัดตราด รับผิดชอบดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งตะวันออก จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 1) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง และ2) อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด
🦞ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 5 จังหวัดนครศรีธรรมราช รับผิดชอบดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีไปจนถึงจังหวัดนราธิวาส ได้แก่ 1) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง 2) อุทยานแห่งชาติธารเสด็จ-เกาะพะงัน 3) อุทยานแห่งชาติหาดขนอม-หมู่เกาะทะเลใต้ และ 4) อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว-เขาตันหยง
🕵️♂️งานที่ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเล ทั้ง 5 ศูนย์ ต้องดำเนินการ มีดังนี้
1. ศึกษา สำรวจ วิจัย พัฒนานวัตกรรมในการจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเล โดยเน้นการคุ้มครองระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นแหล่งศึกษาวิจัย ศึกษาธรรมชาติ นันทนาการและการท่องเที่ยว รวมถึงการมีส่วนร่วมกับชุมชน และผู้เกี่ยวข้อง
2. สำรวจ ติดตามและประเมินสถานภาพของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะทรัพยากรที่สำคัญ ตลอดจนผลกระทบที่เกิดจากการเข้าไปใช้ประโยชน์พื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล เพื่อบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเล
3. สนับสนุนการใช้นวัตกรรมและเทคนิคทางวิชาการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลเพื่อตอบสนองต่อการคุ้มครอง ฟื้นฟู ปกปักรักษาระบบนิเวศหรือทรัพยากรในอุทยานแห่งชาติที่เปราะบาง เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ หรือมีสถานภาพถูกคุกคามอย่างยิ่ง
4. สนับสนุนและประสานงานกู้ภัยกับศูนย์กู้ภัยอุทยานแห่งชาติ
5. สำรวจ รวบรวม จัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรในพื้นที่ ทั้งสัตว์ทะเลมีพิษ สัตว์ทะเลหายาก ปะการัง และหญ้าทะเล เป็นต้น
🐢สำหรับการศึกษาดูงาน ณ ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ได้มีการนำคณะสื่อมวลชน เข้าชมการเพาะเลี้ยงหญ้าทะเล การเดินศึกษาเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน และมีกิจกรรมพายเรือคยัค ซึ่งเป็นกิจกรรมนันทนาการเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลนบ้านท่าฉัตรไชย ซึ่งเป็นป่าโกงกางที่มีความสมบูรณ์แห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต
หญ้าทะเลเป็นทรัพยากรทางทะเลที่สำคัญ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย เลี้ยงตัวอ่อนสัตว์น้ำ และแหล่งหากินของสัตว์ทะเลนานาชนิด โดยเฉพาะปลาทะเล กลุ่มกุ้งทะเล และปูม้า เป็นอาหารของพะยูนและเต่าทะเล รวมถึงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ อันได้แก่ ปลา กุ้ง ปู และหอยหลายชนิด และยังมีส่วนช่วยในการกรองและปรับปรุงคุณภาพน้ำด้วย เพราะหญ้าทะเลมีระบบรากที่คอยยึดจับเพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดินได้เป็นอย่างดี มักจะพบแหล่งหญ้าทะเลบริเวณปากแม่น้ำที่ติดป่าชายเลน หรือบริเวณชายฝั่งน้ำตื้นที่มีพื้นทรายหรือทรายปนโคลน แหล่งหญ้าทะเล รวมทั้งป่าชายเลนจึงเสมือนเป็นแนวกั้นระหว่างกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดบนฝั่งกับทะเลและแนวปะการัง ดังนั้น หากเกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ บนแผ่นดิน ทั้งที่เกิดจากมนุษย์และเกิดตามธรรมชาติ ย่อมมีผลกระทบต่อพื้นที่หญ้าทะเลทั้งสิ้น เมื่อหญ้าทะเลลดลง ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อ พะยูน และเต่าทะเล ที่ต้องย้ายที่อยู่ สัตว์น้ำในบริเวณนั้นก็ลดลงเช่นกัน
🌱ดังนั้น การเพาะเลี้ยงหญ้าทะเลและนำไปปลูก จึงเป็นกิจกรรมหนึ่งเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเลในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ โดยที่ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ได้มีการเพาะเลี้ยงหญ้าคาทะเล (Enhalus acoroides) หญ้าชะเงาเต่า (Thalassia hemprichii) หญ้าเงาใบเล็ก (Halophila mino)
⛺️เส้นทางศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน เป็นเส้นทางที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเรียนรู้เรื่องราวของป่าชายเลนได้ด้วยตัวเอง เพราะตลอดระยะทางประมาณ 600 เมตร จะมีป้ายสื่อความหมายเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ที่พบในพื้นที่ และสามารถขอให้เจ้าหน้าที่มาบรรยายให้ความรู้ก็ได้ ซึ่งใช้เวลาเดินชมประมาณ 30 นาที สำหรับการล่องเรือคายัค ใช้เวลาประมาณ 45 นาที จะทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับความรู้เกี่ยวกับลักษณะของไม้ป่าชายเลน ที่ต้องมีการปรับตัวให้สามารถเจริญเติบโตได้ในดินเลน มีระบบรากที่ใช้ในการค้ำยันลำต้นและใช้สำหรับหายใจ เช่น รากค้ำจุนหรือรากค้ำยัน ของต้นโกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ เป็นรากที่เกิดจากโคนต้นหรือกิ่งเหนือดิน แล้วเจริญลงไปยึดกับดิน ทำหน้าที่ช่วยค้ำยันต้นไม้ไม่ให้ล้ม ช่วยในการทรงตัวในดินเลนได้เป็นอย่างดี รากอากาศคล้ายดินสอ ของต้นแสมทะเล เป็นรากที่งอกจากรากแก้ว แผ่ในดินตื้น ๆ ในแนวราบ แล้วมีส่วนที่โผล่พ้นดินหรือน้ำ ชูส่วนปลายสู่อากาศ รูปร่างคล้ายดินสอ ส่วนที่อยู่เหนือดินหรือน้ำทำหน้าที่ในการหายใจ ดูดซับออกซิเจน หรือรากอากาศคล้ายเข่าของต้นโปรงขาว เป็นรากใต้ดินที่แผ่ตามแนวราบ แทงขึ้นพ้นดินหรือน้ำแล้ววกกลับลงดินอีกครั้ง รูปร่างคล้ายคล้ายเข่าของคน ส่วนที่พ้นดินหรือน้ำจะทำหน้าที่ดูดซับออกซิเจน
⛺️สำหรับเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน สามารถเข้าชมได้ทุกวัน ในเวลาราชการ แต่ถ้าต้องการให้เจ้าหน้าที่พาชมหรือต้องการพายเรือคายัคเที่ยวชมโดยรอบ สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต เลขที่ 92/7 หมู่ที่ 5 ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต โทรศัพท์/โทรสาร 0-7634-8526
และนี่เป็นส่วนหนึ่งของงานด้านการอนุรักษ์ และดูแลสิ่งแวดล้อมส่วนหนึ่งของไทย ที่เชื่อว่าหากเราเริ่มต้นในการดูแลตั้งแต่วันนี้ ในวันพรุ่งนี้เราจะยังคงมีทรัพยากรธรรมชาติเป็นความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมของประเทศต่อไปอีกแสนนาน