การประชุมกรรมการกสทช. โดยมี นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกสทช. เป็นประธานการประชุม เมื่อเปิดประชุม ประธานได้ใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคแห่งชาติ พ.ศ. 2553 มาตร 61 เสนอรายชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. โดยนพ.สรณ ได้เสนอชื่อ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการกสทช.ดำรงตำแหน่งเลขาธิการกสทช. (โดยในการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมแบบเปิดเผยโดยเปิดเสียงตามสายให้สื่อมวลชนฟังการประชุมด้วย)
หลังเสนอรายชื่อแล้ว พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการกสทช.ได้ตั้งข้อสังเกต ว่าการเสนอชื่อดังกล่าวอาจจะมีปัญหาทำให้การเสนอชื่ออาจมีการฟ้องร้อบและทำให้ผลการพิจารณาโฆฆะได้ เพราะผู้เสนอเรื่อง คือเลขานุการประจำประธานกสทช. หากประธานกสทช. จะยืนยันว่าเป็นผู้ลงนามในการบรรจุเรื่องเข้าสู่การพิจารณา เพื่อให้มีการบันทึกในที่ประชุม
จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. ทำ
หนังสือบันทึกข้อความเสนอต่อที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 20/2566 เมื่อวันที่ 12 ต.ค.2566 ขอคัดค้านการพิจารณาและลงมติของ กสทช. 4 คน ได้แก่ พลอากาศโท ดร. ธนพันธ์ หร่ายเจริญ ,กสทช. ดร.พิรงรอง รามสูต ,กสทช. ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และ กสทช. ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ วาระพิจารณา เรื่อง การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช ในการประชุม กสทช. ครั้ง 20/2566 วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2566 และการประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวในโอกาสต่อไป เนื่องจากได้เป็นโจทก์ฟ้อง กสทช. ทั้ง 4 คน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 155/2566 ปัจจุบันอยู่ระหว่างตรวจฟ้องและนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 แม้ว่า กสทช. ทั้ง 4 คน ยังมิได้อยู่ในฐานะจำเลยก็ตาม แต่โดยที่ในการปฏิบัติหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบหรือลงมติในวาระพิจารณา เรื่อง การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. เป็นการใช้อำนาจทางปกครองของ กสทช. ในการพิจารณาก่อนลงมติถือเป็นการพิจารณาทางปกครองเพื่อจะมีคำสั่งทางปกครอง ดังนั้นจึงขอคัดค้านว่า กสทช. ทั้ง 4 คน ได้แก่ พลอากาศโท ดร.ธนพันธ์ หร่ายเจริญ ,กสทช. ดร.พิรงรอง รามสูต ,กสทช. ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และ กสทช. ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ เป็นเจ้าหน้าที่ผู้เป็นคู่กรณี จะทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้ เนื่องจากเป็นบุคคลต้องห้ามตามนัยมาตรา 13 (3) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ท.ศ.2538
จากนั้น ดร.พิรงรอง ได้เสนอให้การประชุมเป็นการประชุมภายใน เนื่องจากมีการกล่าวชื่อบุคคลที่สามในการพิจารณา เพื่อให้กรรมการอภิปรายได้อย่างเต็มที่ และไม่เกิดปัญหาข้อมูลส่วนบุคคลในภายหลัง จึงควรประชุมแบบปิดเป็นการภายใน หลังจากอภิปราย ประธานยืนยันให้ประชุมแบบเปิดเผยต่อไป
ดร.สมภพ อภิปรายว่า กรณีที่ รักษาการเลขาธิการกสทช.ยื่นคัดการไม่ให้บอร์ดลงมติ ไม่เข้าข่ายการใช้อำนาจทางปกครอง ที่ผ่านมาการพิจารณาเรื่องนี้ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา และไม่ถือว่า บอร์ดทั้ง 4 ท่าน เป็นคู่กรณี กับรักษาการเลขาธิการ การเป็นคู่กรณีกับรักษาการเลขาธิการ ตามพ.ร.บ.วิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง คู่กรณี หมายความว่าต้องเป็นผู้รับผลร่วมกับรักษาการเลขาธิการ หมายถึงผู้เข้ารับการสรรหาด้วย แต่เนื่องจากบอร์ดทั้ง 4 คนไม่ได้เป็นผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นเลขาธิการกสทช. จึงไม่ได้เป็นคู่กรณี
หลังจากประชุมเป็นการภายใน ที่ประชุมได้ลงมติ ด้วยคะแนน 4 ต่อ 3 เสียงไม่เห็นด้วยกับกระบวนการสรรหา ทำให้การสรรหาเลขาธิการ กสทช. ยังคงยืดเวลาออกไป พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการกสทช. ระบุว่า กระบวน มติของกสทช.เสียงข้างมากในวันนี้(17 ม.ค.) เป็นการไม่เห็นด้วยกับกระบวนการสรรหา ไม่ใช่การไม่เห็นด้วยกับตัวบุคคล กสทช. 4 ท่านได้เคยทำหนังสือถึงประธานหลายครั้งแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับกระบวนการสรรหาที่เกิดขึ้น เมื่อกระบวนการสรรหาจะต้องเริ่มต้นใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีการเสนอแนวทางการสรรหาเลขาธิการกสทช.ใหม่ในการประชุมครั้งหน้า
ด้านพันตำรวจเอกประเวศน์ มูลประมุข ที่ปรึกษาประจำตัวประธานกสทช.กล่าวว่า หลังจากมติที่ประชุมกสทช.ไม่เห็นชอบเลือกนายไตรรัตน์ เป็นเลขาธิการกสทช. ขึ้นอยู่กับว่า นายไตรรัตน์ จะอุทธรณ์มติบอร์ดกสทช.หรือไม่ และบอร์ดกสทช.จะรับหรือไม่รับ ถ้าไม่รับ ก็ขึ้นอยู่กับนายไตรรัตน์เองจะฟ้องร้องต่อศาลหรือไม่ อย่างไร ส่วนประเด็นเรื่องการสรรหาไม่ชอบ นั้น ต้องรอความเห็นจากศาล กรณีนางสุรางคณา วายุภาพ ฟ้องบอร์ดกสทช.ว่าสรรหาไม่ชอบ จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าจะสรรหาใหม่ตามกระบวนการใด จนกว่ากระบวนการทางศาลจะสิ้นสุดทุกคดีก่อน