รู้หรือไม่ ? ครีมนวดผม ที่ใช้ทุกวันนี้ พบ.. สารซิลิโคน และสารกันเสีย ผสมใส่ปนกันได้หลายชนิด รวมถึงอนุญาตให้ ครีมนวดผม ที่ใส่สารบางชนิด ไม่จำเป็นต้องแสดง วันหมดอายุ บอกผู้บริโภค !! ซึ่งเรื่องเหล่านี้ อย. เปิดเผยออกมาแล้วว่า เป็นเรื่องจริง.. พร้อมมีข้อมูลออกมาชี้แจง รวมถึงแนะวิธีใช้ และวิธีเลือกซื้อ
รู้หรือไม่ ? การใช้ครีมนวดผมที่ถูกต้อง ไม่ได้ให้ชโลมลงบนศีรษะ แต่ให้ใช้เฉพาะบริเวณเส้นผม โดยใช้กับส่วนปลายเส้นผม ถึงตรงกลางเส้นผม !! ซึ่งการใช้สารเคมี กับหนังศีรษะ มากจนเกินไป เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของผมร่วง เกิดอาการคัน, เป็นผื่น ซึ่งหากเกิดอาการแพ้ ให้หยุดใช้ และปรึกษาแพทย์
ตามที่มีข่าว พบ... สารซิลิโคน (Silicones) ในครีมนวดผม และพบสารกันเสีย เมทิลไอโซไทอะโซลิโนน (MIT) และ ฟีน็อกซีเอทานอล (Phenoxyethanol) รวมถึงการใช้สารกันเสีย มากกว่า 1 ชนิดใน 1 ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งพบว่า ครีมนวดผมบางรายการ ไม่ระบุวันหมดอายุนั้น
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ขอชี้แจงว่า ผลิตภัณฑ์ครีมนวดผม มักใส่สารในกลุ่มซิลิโคน เช่น สารไดเมทิโคน (Dimethicone) เพื่อคุณสมบัติ ช่วยเคลือบเส้นผม ทำให้เส้นผมนุ่มลื่น ไม่พันกัน โดยสารในกลุ่มซิลิโคนนี้ ประเทศไทยอนุญาตให้ใช้ เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ โดยมิได้กำหนดเงื่อนไข และปริมาณการใช้เช่นเดียวกับ กฎระเบียบสากล ด้านเครื่องสำอาง และเนื่องจากครีมนวดผม มีน้ำเป็นส่วนผสม ทำให้เชื้อแบคทีเรีย เจริญเติบโตง่าย จึงมีความจำเป็น ต้องใส่สารกันเสีย โดยสามารถใช้สารกันเสีย ในครีมนวดผม มากกว่า 1 ชนิดได้อย่างปลอดภัย หากใช้ภายใต้เงื่อนไข ที่กฎหมายกำหนด รวมถึง สารเมทิลไอโซไทอะโซลิโนน และ ฟีน็อกซีเอทานอล ที่เป็นสารกันเสีย ที่อนุญาตให้ใช้ได้ในเครื่องสำอาง
ทั้งนี้ ในส่วนของฉลากเครื่องสำอาง กำหนดให้ต้องแสดง เดือน ปีที่ผลิต แต่การแสดงเดือน ปีที่หมดอายุ กฎหมายกำหนดให้แสดง เฉพาะ เครื่องสำอาง ที่มีอายุการใช้น้อยกว่า 30 เดือน หรือ เครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมของ Hydrogen peroxide หรือ สารป้องกันแสงแดด Avobenzone ดังนั้น ครีมนวดผม ที่มีอายุมากกว่า 30 เดือน ไม่จำเป็นต้องแสดง วันหมดอายุ
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา แนะการใช้ครีมนวดผม อย่างถูกวิธี ให้ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ชโลมบริเวณกึ่งกลางเส้นผม จนถึงปลายผม แล้วล้างออกให้สะอาด แต่หากใช้แล้ว เกิดอาการแพ้ เช่น มีอาการคัน, เป็นผื่น, ระคายเคือง ให้หยุดใช้และปรึกษาแพทย์
นอกจากนี้ ประชาชน ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง จากแหล่งที่เชื่อถือได้ ตรวจสอบฉลาก ต้องมีข้อความแสดง เลขที่ใบรับจดแจ้ง ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อทางการค้า, ประเภท หรือ ชนิดของผลิตภัณฑ์, ชื่อของสารทุกชนิด ที่ใช้เป็นส่วนผสม, วิธีใช้, ชื่อ และที่ตั้งของผู้ผลิต, ปริมาณสุทธิ, ครั้งที่ผลิต, เดือนปีที่ผลิต และหมดอายุ, คำเตือน และปฏิบัติตาม ที่ระบุบนฉลาก
ทั้งนี้ หากผู้บริโภค มีข้อสงสัย เรื่องความปลอดภัย ของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามข้อมูล หรือร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ สาเหตุของภาวะผมร่วง เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แต่ทุกสาเหตุ สามารถรักษาได้ ผู้ป่วยที่มีภาวะผมร่วง แนะนำให้เข้ามาปรึกษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการวินิจฉัย รักษาที่ถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้ Backbone MCOT มีข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก กรมการแพทย์ ซึ่งเปิดเผยโดย แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติม สาเหตุของภาวะผมร่วงว่า สาเหตุของภาวะผมร่วงนั้น เกิดได้หลายสาเหตุ คือ
1. ผมร่วงจากกรรมพันธุ์ สามารถพบได้ ทั้งชายและหญิง แต่ส่วนใหญ่ มักพบในเพศชาย เห็นเป็นเส้นขนอ่อน ๆ ทำให้ผมบริเวณนั้น ดูบางลง ส่วนมาก จะเป็นบริเวณกลางศีรษะ และหน้าผาก
2. ผมผลัด เกิดผมร่วง เนื่องจากผมหยุดเจริญชั่วคราว จากการเจ็บป่วย หรือความเครียดมาก ๆ หรือ ขาดสารอาหาร เช่น เหล็ก หรือ วิตามินดี ทำให้วงจรชีวิตเส้นผม ที่กำลังเจริญ มีการหยุดเจริญ และ หลุดร่วงมากกว่าปกติ
3. ผมร่วงเป็นหย่อม เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด จะมีอาการ ผมร่วงเฉพาะที่ บริเวณผมที่ร่วง จะมีลักษณะกลมหรือรี ขอบเขตชัดเจน ตรงกลางไม่มีเส้นผม หนังศีรษะในบริเวณนั้น ไม่แดง, ไม่เจ็บ, ไม่คัน, ไม่เป็นสะเก็ด หรือเป็นขุย
4. ผมร่วงจากการถอน พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ และเด็ก ที่มีความเครียด จากสาเหตุต่าง ๆ ผู้ป่วยจะดึงผมตัวเอง จนผมแหว่ง หนังศีรษะบริเวณที่ผมร่วง จะไม่มีผื่นคัน หรือเป็นขุย และจะพบเส้นผม ที่เป็นตอสั้น ๆ
5. ผมร่วงจากเชื้อรา, โรคเชื้อราที่ศีรษะ, กลากที่ศีรษะ อาจพบได้บ่อยในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อราโรคนี้ ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ เป็นผื่นแดงคัน และเป็นขุย หรือ ก้อนอักเสบคล้ายฝี อาจจะมีโรคเชื้อรา (กลาก) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
6. ผมร่วงจากการทำผม, การม้วนผม, ย้อมสีผม, ดัดผม, เป่าผม หรือวิธีอื่น ๆ อาจทำให้มีอาการผมร่วงได้ จากการที่มี หนังศีรษะอักเสบ หรือเส้นผมเปราะหัก
7. ผมร่วงจากโรคอื่น ๆ ผู้ป่วยที่มีโรคบางอย่าง เช่น โรคเอสแอลอี ก็อาจมีอาการผมร่วง ผมบาง ร่วมกับอาการไข้เรื้อรัง, ปวดตามข้อ, มีผื่นปีกผีเสื้อขึ้นที่หน้า โรคผมร่วงบางอย่าง อาจมีการอักเสบ ที่บริเวณสเต็มเซลล์ ทำให้เกิดผมร่วงแบบเป็นแผลเป็น ซึ่งแผลเป็นจะไม่หาย
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง แนะนำเพิ่มเติมว่า สำหรับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ที่มีปัญหาผมร่วง มีดังนี้
1. สังเกตอาการตนเองว่า มีภาวะผมร่วง ผิดปกติหรือไม่ เช่น ผมร่วงมากกว่าวันละ 100 เส้น/วัน ถ้ามีอาการผมร่วงผิดปกติ ควรพบแพทย์ เพื่อให้การวินิจฉัย และรักษาอย่างถูกต้อง ตามมาตรฐาน
2. รักษาความสะอาดของเส้นผม และหนังศีรษะ อย่างสม่ำเสมอ
3. หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี หรือความร้อน กับหนังศีรษะ มากจนเกินไป
4. ในผู้ที่มีการดัดผม หรือย้อมสีผม ควรมีการบำรุงเส้นผม ด้วยครีมนวดผม เพื่อไม่ให้ผมพันกัน เกิดผมขาดง่าย
5. ถ้ารู้สึกมีอาการคัน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรักษา หลีกเลี่ยงการดึง หรือ ถอนผมเล่น
6. ไม่ควรซื้อยารักษาเอง ก่อนพบแพทย์ เพื่อรับคำวินิจฉัย ที่ถูกต้องก่อนรักษา ในรายที่เพิ่งมี อาการผมร่วงที่เป็นมาก หรือ ผมร่วงแบบเป็นแผลเป็น ควรปรึกษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
#BackboneMCOT
อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก :
เว็บไซต์ : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
https://pr.moph.go.th
เฟซบุ๊ก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
https://www.facebook.com/FDAThai
เว็บไซต์ : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
https://oryor.com
เว็บไซต์ : กรมการแพทย์
https://www.dms.go.th
เฟซบุ๊ก : กรมการแพทย์
https://www.facebook.com/100069182200543
3 พ.ย. 2565
2590 views
ขนาดตัวอักษร
อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย