รู้ไหมว่าฝนดาวตกนั้นเกิดขึ้นทุกปีในช่วงเวลาเดิม ๆ และมีหลายปัจจัยที่จะส่งผลต่อการชมฝนดาวตก มาติดตามกัน
ปกติแล้วดาวตกมักจะปรากฏให้เห็นแต่ละครั้งเป็นลูกเดี่ยว ๆ แต่ ณ บางช่วงเวลาในรอบปีนั้น ก็สามารถเห็นเป็น “ฝนดาวตก” นั่นคือช่วงที่มีดาวตกหลายดวงปรากฏให้เห็นช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน ในอัตราตั้งแต่ประมาณ 10 ดวง ไปจนถึงหลัก 100 ดวงต่อชั่วโมง ดาวตกในช่วงฝนดาวตกจะปรากฏพุ่งออกมาทุกทิศทางจากจุดใดจุดหนึ่งบนท้องฟ้า เรียกว่า“จุดศูนย์กลางการกระจาย” (จุด Radiant)
ฝนดาวตกแต่ละชุดจะตั้งชื่อตามกลุ่มดาวที่เป็น “จุดศูนย์กลางการกระจาย” ของฝนดาวตกชุดนั้น เช่น ฝนดาวตกโอไรออนิดส์ (Orionids) มีจุดศูนย์กลางการกระจายอยู่ในกลุ่มดาวนายพราน (Orion) ขณะที่ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์(Perseids) มีจุดศูนย์กลางการกระจายอยู่ในกลุ่มดาวเพอร์ซีอุส (Perseus) และฝนดาวตกเจมินิดส์ (Geminids) มีจุดศูนย์กลางการกระจายอยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ (Gemini) เป็นต้น
นอกจากนี้ ฝนดาวตกแต่ละชุดนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดิมของทุกปี เพราะในหนึ่งปีที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ โลกจะโคจรตัดผ่านสายธารเศษฝุ่นที่ดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยทิ้งเอาไว้เมื่อครั้งที่โคจรมาใกล้ดวงอาทิตย์ ซึ่งสายธารเหล่านั้นคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิมเสมอ เมื่อโลกโคจรผ่านเข้าไปก็จะดึงดูดเอาเศษฝุ่นเข้ามาในชั้นบรรยากาศ เกิดการเผาไหม้ ปรากฏเป็นแสงวาบให้คนบนโลกเห็นเป็นดาวตกหลายดวงที่พุ่งออกมาจากจุดเดียวกันนั่นเอง
รายการต่อไปนี้จะเป็นรายการ #ฝนดาวตกน่าติดตาม ประจำปี ที่นักดาราศาสตร์และนักดูดาวให้ความสนใจ
#ฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) : ฝนดาวตกชุดที่สว่างที่สุดและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุด อัตราดาวตกสูงสุดเคยถึงที่ระดับมากกว่า 1,000 ดวงต่อชั่วโมง และต้นกำเนิดคำว่า “ฝนดาวตก” ในภาษาอังกฤษ (Meteor shower) นั้น มาจากการสังเกตการณ์ฝนดาวตกลีโอนิดส์ในปี ค.ศ.1833 ของนักดาราศาสตร์ที่ NASA ได้ประมาณปริมาณดาวตกครั้งนี้ไว้ถึง240,000 ดวงในช่วงเวลา 9 ชั่วโมง ฝนดาวตกชุดนี้จะปรากฏทุกกลางเดือนพฤศจิกายน ปัจจุบัน มีอัตราดาวตกสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15 ดวงต่อชั่วโมง แต่จะมีอัตราดาวตกมากกว่าปกติทุก ๆ 33 ปี ตามคาบการโคจรครบรอบของวัตถุต้นกำเนิด นั่นคือดาวหางเทิมเพิล-ทัตเทิล (Tempel-Tuttle) ซึ่งฝนดาวตกลีโอนิดส์รอบที่มีอัตราดาวตกมากครั้งล่าสุด คือรอบปี ค.ศ.1998 มีอัตราดาวตกสูงถึง 450 ดวง/ชั่วโมง
#ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ (Perseids) : ฝนดาวตกชุดนี้มีวัตถุต้นกำเนิด คือ ดาวหางสวิฟต์-ทัตเทิล (Swift-Tuttle) ที่ใช้เวลาโคจรครบรอบนาน 133 ปี โลกโคจรตัดผ่านวงโคจรของดาวหางดวงนี้ ฝ่าสายธารสะเก็ดดาวที่ดาวหางทิ้งไว้เกิดเป็นฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมของทุกปี (ช่วงฤดูฝนของไทย) โดยปกติแล้ว อัตราดาวตกของฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์นั้นมากกว่า 60 - 100 ดวงต่อชั่วโมง
#ฝนดาวตกโอไรออนิดส์ (Orionids) : วัตถุต้นกำเนิดของฝนดาวตกชุดนี้ คือ ดาวหางฮัลเลย์ (Halley) ที่ใช้เวลาโคจรครบรอบนาน 75 - 76 ปี ฝนดาวตกชุดนี้ปรากฏในช่วงปลายเดือนตุลาคมของทุกปี โดยมีอัตราดาวตกตามปกติ อยู่ที่ประมาณ 20 - 70 ดวงต่อชั่วโมง
#ฝนดาวตกควอดรานติดส์ (Quadrantids) : ฝนดาวตกชุดนี้มีแหล่งที่มาจากดาวเคราะห์น้อย 2003 EH1 ซึ่งเป็นวัตถุที่นักดาราศาสตร์บางคนคาดว่าเคยเป็นส่วนหนึ่งของดาวหาง แต่แตกตัวออกมาเมื่อหลายศตวรรษก่อน ฝนดาวตกชุดนี้เกิดขึ้นทุกช่วงต้นเดือนมกราคมของทุกปี โดยมีอัตราดาวตกราว 60 - 100 ดวง
#ฝนดาวตกเจมินิดส์ (Geminids) : ฝนดาวตกชุดนี้มีแหล่งที่มาจากดาวเคราะห์น้อยเช่นเดียวกับฝนดาวตกควอดรานติดส์ มีวัตถุต้นกำเนิด คือ ดาวเคราะห์น้อยเฟทอน (3200 Phaethon) มีอัตราดาวตกอยู่ที่ประมาณ 110 - 120 ดวงต่อชั่วโมง และเกิดขึ้นทุกช่วงกลางเดือนธันวาคมของทุกปี
ต่อมาเป็น #คำแนะนำ ในการสังเกตการณ์ฝนดาวตก
สภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ดีในการสังเกตการณ์ฝนดาวตกน คือ สภาพท้องฟ้าที่มืด ควรลดแสงให้รบกวนการดูฝนดาวตกน้อยที่สุด ดังนั้น คืนที่ดีที่สุดในการดูฝนดาวตก ควรเป็นคืนที่ฝนดาวตกนั้นมีอัตราการตกสูงสุดตรงกับ #คืนเดือนมืด หรือคืนที่ดวงจันทร์มีความสว่างน้อย (ช่วงแรม 13 ค่ำ - ขึ้น 2 ค่ำ) เนื่องจากเป็นช่วงที่แสงจากดวงจันทร์ไม่สว่างเกินไป รวมทั้งดวงจันทร์ยังไม่อยู่เหนือขอบฟ้าในขณะเกิดฝนดาวตก ขณะที่พื้นที่สังเกตฝนดาวตกควรเป็นพื้นที่ที่มี #มลภาวะทางแสงน้อย นั่นคือไม่มีแสงรบกวนจากชุมชน เมือง ไฟถนน เป็นต้น
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการดูฝนดาวตกหลายชุด คือ ช่วงเช้ามืด ซึ่งเป็นช่วงเวลาในรอบวันที่โลกหันพื้นผิวฝั่งที่ผู้สังเกตอยู่ไปในทิศทางที่โลกกำลังโคจรมุ่งไป ขณะที่ช่วงหัวค่ำนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอัตราดาวตกที่เห็นได้น้อยกว่า
ฝนดาวตกหลายชุดส่วนใหญ่แล้วจะปรากฏในช่วงเวลาแตกต่างกันในรอบปี ขึ้นอยู่กับว่าช่วงใดที่โลกโคจรตัดผ่านวงโคจรของวัตถุต้นกำเนิดฝนดาวตกที่มีสายธารสะเก็ดดาวทิ้งไว้ ฝนดาวตกบางชุดจะเห็นได้ทุกปี เนื่องจากวัตถุต้นกำเนิดโคจรเข้ามายังระบบสุริยะชั้นในค่อนข้างถี่ (เช่น ฝนดาวตกเจมินิดส์ จากดาวเคราะห์น้อยเฟทอน ที่ใช้เวลาโคจรครบรอบเพียง 1.43 ปี) ขณะที่ฝนดาวตกอีกหลายชุด จะมีช่วงที่ดาวตกชุกนาน ๆ ครั้ง (เช่น ฝนดาวตกลีโอนิดส์ที่มาจากดาวหางเทิมเพิล-ทัตเทิล ที่ใช้เวลาโคจรครบรอบนาน 33 ปี) ขณะที่ฝนดาวตกที่มีอัตราดาวตกมากจนถึงระดับ “พายุฝนดาวตก” (Meteor storm) จะเกิดขึ้นเพียง 1 - 2 ครั้งในช่วงชีวิตของคนเราเท่านั้น
อีกปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างในการสังเกตการณ์ฝนดาวตก คือ “สภาพอากาศ” ซึ่งการสังเกตการณ์ฝนดาวตกต้องการสภาพอากาศที่ปลอดโปร่ง ดังนั้น ในกรณีประเทศไทย ฝนดาวตกที่เหมาะสมในการสังเกตการณ์ คือ ฝนดาวตกที่ปรากฏในช่วงฤดูหนาว เช่น ฝนดาวตกเจมินิดส์ เป็นต้น
แปลและเรียบเรียง :
พิสิฏฐ นิธิยานันท์ - เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร.
อ้างอิง :
https://www.space.com/meteor-showers-shooting-stars.html
ที่มา: 📸 ดูโพสต์นี้บน Facebook https://www.facebook.com/share/p/foG8Sk8tXz1fzHfq/?mibextid=WC7FNe