สลิลธร ทองมีนสุข และ อัชราภรณ์ อริยสุนทร นักวิชาการอาวุโส TDRI นำเสรอบทความวิเคราะห์ทิศทางการแข่งขันของ AI ในระดับโลก และเสนอแนวแนสทาวสำหรัยประเทศไทยว่า ในศตวรรษที่ 21 เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเซมิคอนดักเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ได้กลายเป็นหัวใจของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ การแย่งชิงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2568 ที่ผ่านมามีการรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจมีแผนจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย และมาเลเซีย เพื่อป้องกันการเลี่ยงมาตรการควบคุมการส่งออกไปยังจีนโดยอ้อม ประเด็นนี้ได้จุดประกายให้ต้องกลับมาทบทวนบทบาทของประเทศไทยในสมรภูมิ “สงครามชิป” ที่กำลังเข้มข้นขึ้น แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์โดยตรง แต่กลับมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะในด้านการประกอบ บรรจุ และทดสอบชิป (OSAT) ซึ่งเป็นขั้นตอนท้ายที่จำเป็นต่อการส่งชิปเข้าสู่ตลาดโลก
ไทยอยู่ตำแหน่งใด ในกรอบ AI Diffusion Framework
ประเทศไทยอยู่ในกลุ่ม “Tier 2” ภายใต้กรอบ AI Diffusion Framework ของสหรัฐฯ ซึ่งหมายถึงการเป็นประเทศที่ยังไม่มีมาตรการ หรือสถาบันด้านการควบคุมเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ ให้ความเชื่อมั่นในระดับสูง หมายความว่า แม้ไทยจะไม่ได้ถูกจัดอยู่ใน “เป้าหมายโดยตรง” ของมาตรการควบคุม AI-chip เช่นเดียวกับจีน แต่สถานะ Tier 2 หมายถึงการอยู่ในรายชื่อประเทศที่สหรัฐฯ เฝ้าระวังว่าจะกลายเป็น “ช่องทางอ้อม” (indirect pathway) ให้เทคโนโลยีอ่อนไหวหลุดรอดไปยังประเทศที่ถูกควบคุมโดยตรง เช่น จีน หรือรัสเซีย
ความเคลื่อนไหวนี้ของสหรัฐฯทำให้เกิดข้อกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ เช่น แผนการลงทุนในศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องอาศัย GPU (Graphics Processing Unit) หรือ "หน่วยประมวลผลกราฟิก สมรรถนะสูงอาจถูกชะลอ ตลอดจนความกังวลว่าภาคการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยซึ่งเน้นบทบาทด้านการประกอบ และทดสอบก็อาจตกเป็นเป้าหมายของข้อจำกัดทางการค้า
นอกจากนี้ ภายใต้ AI Diffusion Framework ของสหรัฐฯ ประเทศที่ไม่อยู่ในกลุ่มพันธมิตร Tier 1 เช่น ไทยจะถูกกำหนด “TPP quota”ซึ่งเป็นขีดจำกัดการนำเข้าชิปประสิทธิภาพสูงในแต่ละช่วงเวลา โดยโควตาเริ่มต้นคือ 790 ล้าน TPP (ราว 50,000 GPU) และสามารถขอเพิ่มได้เป็น 1,580 ล้าน TPP หากรัฐบาลไทยยื่นหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการต่อสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ประเทศ Tier 2 ไม่มีสิทธิใช้ license exceptions ที่ออกแบบเพื่อให้พันธมิตรสามารถนำเข้า IC หรือโมเดล AI บางประเภทได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาต ซึ่งหมายความว่า ไทยจำเป็นต้องอาศัยการขอ license แบบเต็มรูปแบบ และอยู่ภายใต้ “presumption of denial” หรือมีแนวโน้มถูกปฏิเสธเป็นหลักหากโควตา หมด
การอยู่ใน Tier 2 สะท้อนถึงความไม่พร้อมด้านกฎหมาย และกลไกตรวจสอบ แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทำลายล้างสูง (WMD) อย่างพระราชบัญญัติการควบคุมการค้าสินค้าที่เกี่ยวกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 และมีประกาศกระทรวงพาณิชย์ปี 2564 ที่ระบุรายการสินค้าสองทาง (Dual-Use Items: DUIs) ซึ่งอ้างอิงจากรายการของสหภาพยุโรปปี 2019 แต่ระบบการควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูงของไทยยังไม่ถือว่าเทียบเท่ามาตรฐานสากล
รายการสินค้าสองทาง (DUI Lists) หรือ เทคโนโลยีที่ใช้ได้ทั้งในทางพลเรือนและทางทหารที่ไทยใช้อยู่ยังอิงตาม EU Dual-Use List ปี 2019 ไม่ครอบคลุมรายการที่ EU และสหรัฐฯ ใช้ในปัจจุบัน โดยสหรัฐฯ ที่เพิ่มหมวดเทคโนโลยีอ่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์อย่าง AI accelerator chips, เครื่องมือออกแบบชิป (EDA tools) และเทคโนโลยี quantum computing ลงใน Commerce Control List
ไทยมีระบบดิจิทัลพื้นฐาน (e-TCWMD) สำหรับควบคุมสินค้าสองทางภายในประเทศ แต่ยังไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบของประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐฯ หรือสหภาพยุโรป ทำให้ยังไม่สามารถใช้ระบบตรวจสอบปลายทางร่วมได้ในระดับ real-time หรือ automated assurance
ปัจจุบันไทยยังไม่มีระเบียบควบคุมเฉพาะสำหรับเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI หรือ quantum computing ในบริบทความมั่นคงขณะที่สหรัฐฯ ได้ออกกฎ AI Diffusion Rule เพื่อควบคุมการส่งออกเฉพาะในกรณีที่มีความเสี่ยง เช่น การส่งออกชิป AI หรือโมเดล AI ปิด ไปยังประเทศหรือผู้ใช้งานที่มีความเกี่ยวข้องกับการทหารหรือกิจกรรมต้องห้าม (โดยที่ระเบียบลักษณะนี้ไม่ได้เพิ่มภาระกับผู้ประกอบการทั่วไป เพราะไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตหากไม่เข้าเงื่อนไขที่กำหนด)
แม้ไทยจะมีระบบควบคุม “catch-all control" สำหรับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ WMD ซึ่งให้อำนาจกรมการค้าต่างประเทศสั่งระงับการส่งออกหรือโอนสินค้าที่อาจถูกใช้ในกิจกรรมต้องห้ามได้ แต่ระบบนี้ยังไม่ครอบคลุม catch-all control เชิงเศรษฐกิจแบบที่สหรัฐฯ ใช้
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ประเทศทางอ้อม” ที่อาจใช้เลี่ยงมาตรการควบคุมเทคโนโลยี ไทยควรดำเนินการเชิงรุก 4 ด้านเพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือในฐานะผู้ใช้และผู้ผ่านเทคโนโลยีขั้นสูง โดยไม่เลือกข้างแต่เลือกมาตรฐาน:
1. ปรับปรุงกฎหมายและระบบดิจิทัลควบคุมเทคโนโลยี เพื่อครอบคลุม emerging technologies เช่น AI, quantum, cloud โดยขยาย catch-all control ไปสู่ความมั่นคงเศรษฐกิจ พร้อมพัฒนาระบบข้อมูลที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น EAR ของสหรัฐฯ และ EU Dual-Use Regulation
2. ส่งเสริมแนวทางควบคุมแบบสมัครใจภาคเอกชน เช่น การรับรองปลายทาง หรือกำกับการใช้งาน GPU โดยไม่เพิ่มภาระทางกฎหมาย เพื่อแสดงความรับผิดชอบร่วมกัน
3. ทบทวนยุทธศาสตร์ AI และเทคโนโลยีแห่งชาติ ให้ตั้งอยู่บนหลัก open standard และสถาปัตยกรรมแบบเปิด เพื่อสะท้อนจุดยืนเชิงบวกในเวทีระหว่างประเทศ
4. ประกาศท่าทีระดับรัฐอย่างชัดเจน ว่าไม่สนับสนุนการนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางทหารหรือกิจกรรมที่ประเทศพันธมิตรกังวล พร้อมเปิดความร่วมมือกับ BIS ในระบบตรวจสอบปลายทาง โดยระบบควบคุมที่โปร่งใสจะช่วยหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากขั้วมหาอำนาจ พร้อมรักษาสิทธิในการเข้าถึงเทคโนโลยีและการลงทุนในระยะยาว