โครงการยกระดับความสำคัญของข้าวผ่านเวทีข้าวเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Rice Platform หรือSRP) ได้จัดการประชุมด้านข้าวระดับโลกภายใต้ชื่อ “การประชุมและนิทรรศการข้าวเพื่อความยั่งยืนระดับโลก ครั้งที่ 3 ประจำปี 2567”(3rd Global Sustainable Rice Conference and Exhibition 2024) ขึ้นในวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2567 ที่จะถึงนี้ ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ (UNCC) ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร
นายวิน เอลลิส (Wyn Ellis) ผู้อำนวยการ Sustainable Rice Platform หรือเวทีข้าวเพื่อความยั่งยืน กล่าวว่า “นี่คือช่วงเวลาที่มีความสำคัญมากที่สุดในการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของข้าวให้เกิดความยั่งยืนทั้งในระดับโลกและในภูมิภาคเอเชีย” โดยนายวิน เอลลิส ได้เน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงวิธีการปลูกข้าวไปเป็นแนวทางที่มีความยั่งยืนนั้นจะช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกร เสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและทรัพยากรน้ำ รวมทั้งสนับสนุนการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศของโลก
“การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันค้นพบเครื่องมือและความก้าวหน้าล่าสุดในการติดตามผลกระทบและการคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอน พร้อมทั้งเปิดโอกาสในการแบ่งปันความรู้และสร้างความร่วมมือกับผู้นำที่ขับเคลื่อนและพัฒนาความยั่งยืนในระดับโลก” นายวิน เอลลิสกล่าวย้ำว่า “เราขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุยเพื่อวางรากฐานของการเปลี่ยนแปลงและช่วยกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับภาคการผลิตข้าวมากยิ่งขึ้น”
การประชุมนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าวเชิงพาณิชย์ทั้งภายในประเทศและในระดับโลก จากความสำเร็จในการจัดประชุมข้าวเพื่อความยั่งยืนครั้งแรกในปี 2560 และการประชุมครั้งที่สองในปี 2562 ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม พร้อมด้วยตัวแทนจากภาคเอกชนและตัวแทนองค์การระหว่างประเทศจำนวนมากที่เข้าร่วมประชุมและอภิปราย ในการจัดงานปี2567 นี้ทาง SRP คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการประชุมมากกว่า 300 คนจากกว่า 30 ประเทศ ซึ่งเป็นผู้แทนระดับสูงจากภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงตัวแทนจากองค์การระหว่างประเทศ และผู้สนใจจากทุกภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้อง
งานประชุมครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเน้นย้ำบทบาทของการผลิตข้าวต่อการรับมือด้านความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร โดยผู้เข้าร่วมงานจะได้พบปะกับผู้เชี่ยวชาญด้านข้าวจากทั่วโลก และมีโอกาสได้ร่วมเปลี่ยนความรู้ นวัตกรรม แนวทางปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับโลกเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวของภาคส่วนต่าง ๆในห่วงโซ่คุณค่าของการผลิตและจัดจำหน่ายข้าว
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมการประชุมจะได้รับข้อมูลเชิงลึกจากสมาชิก SRP ที่มาร่วมแบ่งปันข้อเสนอแนะและบทเรียนจากประสบการณ์ภายใต้กรอบการทำงานของ SRP และมีการอภิปรายถึง ‘โครงการภูมิทัศน์ข้าวยั่งยืน - Sustainable Rice Landscapes Initiative’ และ ‘โครงการกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก - Global Environment Facility’ ซึ่งให้ความสำคัญต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้จริง
ความน่าสนใจและประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้
• เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในด้านการผลิตข้าวอย่างยั่งยืนจากทั่วโลก
• ศึกษาเทคโนโลยีและแนวทางใหม่ ๆ ในภาคการผลิตข้าว
• เชื่อมโยงและขยายความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าวจากทั่วทุกมุมโลก
• แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวคิดในการพัฒนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
รายละเอียดงานประชุม:
วันที่: 26-27 พฤศจิกายน 2567
เวลา: 09:00 น. - 17:00 น.
สถานที่: ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ (UNCC) อาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร
ลงทะเบียน:https://app.glueup.com/event/3rd-global-sustainable-rice-conference-and-exhibition-2024-113133/
เกี่ยวกับเวทีข้าวยั่งยืน (Sustainable Rice Platform หรือ SRP)
เวทีข้าวยั่งยืน เป็นความร่วมมือระดับโลกที่ประกอบไปด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่า 100 องค์กร จากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการวิจัย ภาคประชาสังคม และภาคการเงิน โดย SRP ทำงานร่วมกับสมาชิกและพันธมิตรเพื่อพลักดันการเปลี่ยนแปลงในการผลิตและจัดจำหน่ายข้าวระดับโลก โดยมุ่งเน้นการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรรายย่อย การลดผลกระทบทางสังคม สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศจากการผลิตข้าว เพื่อส่งมอบข้าวที่เกษตรกรปลูกอย่างมีความยั่งยืนให้กับตลาดโลก
SRP ยังส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในระดับการผลิตและกิจกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)ของข้าวรวมไปถึงการดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมเปลี่ยนแปลงของตลาดโดยความสมัครใจผ่านการพัฒนามาตรฐานการผลิต ตัวชี้วัด แรงจูงใจ และการส่งเสริมความสามารถในการปฏิบัติตามแนวทางที่ดีและยั่งยืนให้เกิดขึ้นในกลุ่มเกษตรกรรายย่อยในวงกว้าง