X
กสิกรไทยชี้ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทยจะมาแรง

กสิกรไทยชี้ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทยจะมาแรง

24 พ.ย. 2564
610 views
ขนาดตัวอักษร

นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวในหัวข้อเรื่อง “Medical Hub in Thailand: Opportunities and Challenges” ในงานสัมมนา Academic Endocrine Weekend 2021ว่า ก่อนการเกิดโควิด-19 ประเทศไทยมีรายได้หลักจากการเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ในฐานะศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ของภูมิภาคเอเชีย โดยนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่มาไทยในปี 2560 คิดเป็น 38 % ของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ทั้งหมดในเอเชียอย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ชะลอตัวลงต่อเนื่อง แม้กระทั่งก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงจาก 13 % ในปี 2560 เหลือเพียง 0.3 % ในปี 2562 คำถามสำคัญคือการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จะสามารถเดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแรงมั่นคงได้อย่างไร เพื่อดำรงตำแหน่งในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการแพทย์ระดับโลกในระยะยาว  


ประเด็นปัญหาและความท้าทายของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในไทย มี 3 ประเด็น คือ ปัญหาด้านโครงสร้างที่ไทยมุ่งเน้นการรักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนและเน้นจุดเด่นด้านการบริการมากกว่าการใช้เทคโนโลยีและการรักษาที่อาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีอยู่อย่างจำกัด และจะเพิ่มได้ไม่เพียงพอรองรับความต้องการภายในประเทศที่จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากปัญหาสังคมสูงวัย รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการนำเข้ายาและเวชภัณฑ์ ซึ่งในปี 2563 พบว่าไทยมีการนำเข้ายาและเวชภัณฑ์มูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 70% ของค่าใช้จ่ายด้านยาและเวชภัณฑ์ทั้งหมด ทำให้สูญเสียโอกาสในการนำงบประมานเหล่านี้ไปทำการวิจัยและพัฒนาคิดค้นยาที่เป็นนวัตกรรมของคนไทยเอง 


พอมีการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวโดยรวม และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คาดการณ์ว่า ปี 2567 หรือใช้เวลาอีกประมาณ 4 ปี จำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ จึงจะฟื้นตัวกลับไปสู่ภาวะปกติที่ 1.2-1.3 ล้านคนต่อปี  ทั้งนี้การแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศในภูมิภาค เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ให้เป็นอุตสาหกรรมดาวเด่น  อาทิ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย พบว่าจุดแข็งของไทยอยู่ที่ ต้นทุนค่ารักษาพยาบาล ซึ่งอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ และเมื่อเทียบกับการรักษาที่สหรัฐอเมริกา ประเทศไทยจะประหยัดกว่า 82 % นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยยังอยู่ในแนวหน้าของเอเชีย โดย  ตอนนี้ มีสถานพยาบาลที่ได้ผ่านมาตรฐานสถาบัน JCI (Joint Commission International) กว่า 66 แห่ง อย่างไรก็ดี ประเทศคู่แข่งอย่างมาเลเซีย เริ่มเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของไทยอย่างประเทศแถบตะวันออกกลาง ได้เริ่มมีการลงทุนสร้างศูนย์การแพทย์ที่ครบวงจร อาทิ Dubai Health Care City (DHCC) เพื่อรองรับความต้องการภายในภูมิภาคตะวันออกกลางอีกด้วย  



ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องผันตัวเองจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เน้นปริมาณไปสู่การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่มีความยั่งยืน เน้นคุณภาพ ความชำนาญเฉพาะทาง และเทคโนโลยี เพื่อเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาวขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพทางการแพทย์ของประเทศ รองรับสังคมสูงวัยของประเทศไทย และลดค่าใช้จ่ายด้านการสาธารณสุขให้แก่ภาครัฐ  ปัจจัยที่จะช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับโลก (World-Class Medical Hub) มี 4 ปัจจัย คือ การส่งเสริมระบบนิเวศน์ของเฮลธ์ เทค ให้เกิดขึ้น (Health Tech Ecosystem)  

ด้วยการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาบริการและเกิดการใช้งานจริง การสนับสนุนระบบนิเวศน์เฮลธ์ เทค สตาร์ทอัพในไทยอย่างจริงจัง  การสนับสนุนจากภาครัฐ และ การลงทุนโดยบริษัทเอกชน


Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)