ดร. สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการด้านกฎหมายดิจิทัลและการกำกับดูแลโครงสร้างพื้นฐาน ทีดีอาร์ไอ ในฐานะที่ปรึกษาด้านกฎหมายโครงการฯ นำเสนอผลศึกษา กล่าวว่า ผลการศึกษาของทีดีอาร์ไอเกี่ยวกับข้อมูลภาครัฐ พบว่ามีประเด็นปัญหาหลายประการ เช่น การวางแผนในการจัดเก็บการดำเนินการด้านข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูลในภาครัฐที่ยังมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างจำกัด ทำให้สืบค้นข้อมูลได้ยาก และยังไม่มีการประเมินประโยชน์ต่อต้นทุนของข้อมูลในขั้นตอนการวางแผนจัดเก็บข้อมูล ทำให้ข้อมูลที่จัดเก็บบางกรณีขาดความคุ้มค่า ตลอดจนการกำหนดชุดข้อมูลที่มีคุณค่าสูงยังขาดการพิจารณาถึงประโยชน์ของข้อมูล
“นอกจากปัจจัยหลักคือการวางแผนจัดเก็บและการเผยแพร่ข้อมูลของภาครัฐแล้ว ยังมีปัจจัยสนับสนุนอีกหลายประการที่จะให้เกิดการพัฒนาทางด้านข้อมูลของประเทศไทยอย่างครบวงจร คือ การร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อยกระดับการให้บริการทางด้านข้อมูล เพราะข้อมูลไม่ได้อยู่แค่ในภาครัฐเท่านั้น แต่ยังมีข้อมูลสำคัญที่อยู่กับภาคเอกชนด้วย นอกจากนี้ประเด็นเรื่องธรรมาภิบาลและสถาปัตยกรรมข้อมูล (การจัดเก็บ เชื่อมโยง แบ่งปัน บูรณาการ และใช้ประโยชน์ข้อมูล) เองก็มีความสำคัญ เพราะข้อมูลต้องมีความปลอดภัย อยู่ในกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล มีการอภิบาลข้อมูลที่ดี และข้อมูลควรมีการบันทึกในมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการออกแบบให้ทำงานร่วมกันได้ และปัจจัยส่งเสริมสุดท้ายที่มีความสำคัญคือการยกระดับแรงงานทั้งในภาครัฐและเอกชนให้มีทักษะทางด้านข้อมูล” ดร. สลิลธร ระบุ
ด้านดร. สุเมธ องกิตติกุล รองประธานทีดีอาร์ไอ ในฐานะที่ปรึกษาด้านการวิจัยและนโยบายโครงการฯ นำเสนอยุทธศาสตร์ข้อมูลของประเทศไทย กล่าวว่า การกำหนดทิศทางการพัฒนาทางด้านข้อมูลของประเทศ 4 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับการให้บริการทางด้านข้อมูลภาครัฐ โดยมีเป้าหมายให้ภาครัฐมีการวางแผน รวบรวม และจัดเก็บข้อมูลอย่างคุ้มค่า มีข้อมูลที่มีคุณค่าสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ข้อมูล และส่งเสริมให้ภาครัฐมีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การส่งเสริมความร่วมมือทางด้านข้อมูลระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนข้อมูลของประเทศ ผ่านมาตรการสนับสนุนการแบ่งปันข้อมูลระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้ข้อมูลในประเทศไทยมีความครบถ้วน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาด้านธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐและการเชื่อมโยงข้อมูล โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อส่งเสริมให้ข้อมูลภาครัฐและเอกชนมีคุณภาพ สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อ ได้รับการบันทึกในมาตรฐานเดียวกัน และข้อมูลมีความปลอดภัย ไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูล และไม่สร้างความเสียหายให้หน่วยงาน
และยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาทักษะทางด้านข้อมูลให้กับบุคลากรในภาครัฐและเอกชน โดยเน้นการพัฒนาทักษะทางผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในไทย และเพิ่มบุคลากรที่มีทักษะทางด้านข้อมูลในภาครัฐ เพื่อให้มีทักษะพร้อมในการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์
“การพัฒนาทางด้านข้อมูลและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูลของประเทศ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานในภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างรากฐานทางด้านข้อมูลของประเทศไทย ให้ไทยมีข้อมูลที่มีคุณภาพสูงและมีความทันสมัยพร้อมนำไปใช้งานเพื่อสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อไป”ดร.สุเมธ ระบุ