ผศ.นพ. กำธร มาลาธรรม ได้อธิบายถึงลักษณะของยาปฏิชีวนะว่า เป็นยาที่สกัดมาจากสารกึ่งสังเคราะห์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ไม่ได้มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสส่วนใหญ่ใช้รักษาอาการทอนซิลอักเสบ หรือลำคออักเสบรวมทั้งต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อกลุ่มStreptococci ซึ่งหากนำไปใช้อย่างผิดๆ เช่นเพื่อรักษาCOVID-19 อาจให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา จนเกิดอาการติดเชื้อถึงขั้นเสียชีวิตได้
"หากเรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อาจไม่จำเป็นต้องรับประทานยาใดๆ ซึ่งประชาชนไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยหลงเชื่อข่าวลวง เพราะอาจได้ยาที่ไม่ตรงกับโรค แม้อาจไม่ส่งผลรุนแรงถึงแก่ชีวิต แต่ก็อาจทำให้การรักษายุ่งยากมากขึ้น เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น เป็นการเสียทรัพย์โดยไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย" ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กำธรมาลาธรรม กล่าวทิ้งท้าย
Amoxicillin เป็นยาต้านแบคทีเรีย แต่คำที่คนคุ้นกันมากกว่าก็คือ “ยาปฏิชีวนะ” ซึ่งทำให้เข้าใจผิดได้ว่ายากลุ่มนี้ฆ่าเชื้อได้ทุกอย่าง ความจริงยาปฏิชีวนะ คือกลุ่มของยาที่ได้จากการสกัด หรือดัดแปลงมาจากสารเคมีที่ได้จากสิ่งมีชีวิตอื่น (กึ่งสังเคราะห์) สิ่งมีชีวิตที่เป็นแหล่งกำเนิดของยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่คือเชื้อรา และยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่มักมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียเราจึงใช้ยาปฏิชีวนะเป็นยาต้านแบคทีเรีย ซึ่งจะไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา เชื้อไวรัส หรือเชื้ออื่นใดนอกจากแบคทีเรีย
ถ้าเรากินยา amoxicillin โดยเข้าใจว่ายานี้ป้องกันหรือรักษาโควิด-19 ได้ แล้วเราไม่ป้องกันตนเอง เช่น ถอดหน้ากากเมื่ออยู่หลาย ๆ คน เราก็จะติดเชื้อมาได้ และเมื่อติดเชื้อแล้ว ถ้ายังเข้าใจว่า amoxicillin รักษาได้ ก็ทำให้ชะล่าใจ ไม่ไปรับการตรวจรักษาอย่างถูกต้องและทันการณ์ เป็นผลร้ายไปอีกแบบหนึ่ง
รวมถึงยังเป็นการทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้มากขึ้นด้วยเพราะการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม จะทำให้เชื้อเหล่านี้สามารถพัฒนาตนเองให้สามารถทำลายยาได้ และมีชีวิตต่อไปได้ คือการดื้อยานั่นเอง ถ้าเราติดเชื้อดื้อยาเหล่านี้ การรักษาจะยุ่งยากมากขึ้น เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้