20 ก.ย.65 - ศาลฎีกายกฟ้อง “สุเทพ” กับพวก 6 คน ไม่ผิดคดีร่วมฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดเเทน 396 แห่ง
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) สนามหลวง นัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำอม.22/2565 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพเทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 กรณีร่วมฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดเเทนโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก(แฟลตตำรวจ)
•
โดยวันนี้ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า การไต่สวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ครม.มีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทนให้เปลี่ยนรูปแบบการลงทุนภาครัฐจากวิธีแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ เเละวิธีจัดสรรงบประมาณรายปี ส่วนวิธีที่ทางสำงานตำรวจเเห่งชาติเสนอรูปเเบบการจัดซื้อจัดจ้างเป็นเพียงเหตุผลประกอบ
•
ทั้งนี้ ที่ ครม.พิจารณาอนุมัติโครงการและจัดสรรงบประมาณให้นั้น ไม่เกี่ยวกับรูปแบบการก่อสร้างและวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะไม่ใช่อำนาจของ ครม.ซึ่งเป็นอำนาจของหน่วยงานรัฐคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การที่จำเลยที่ 1 อนุมัติการจัดจ้างก่อสร้างแบบรายภาค 1-9 ภาค และเปลี่ยนเป็นวิธีอิเล็กทรอนิกส์รวมกันในครั้งเดียวโดยไม่เสนอให้ครม.อนุมัติ จึงไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
•
ส่วนจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานรักษาการณ์ ผบ.ตร.ได้ใช้ดุลพินิจให้ความเห็นชอบตามระเบียบครม.การจัดทำรูปแบบ แนวทางรวมถึงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างและขออนุมัติจากจำเลยที่ 1 ซึ่งจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามสายงาน และได้พิจารณาเหตุผลความจำเป็นเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น จำเลยที่ 2 ได้ใช้ดุลยพินิจเห็นชอบตามระเบียบสำนักนายกฯ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
•
ขณะเดียวกัน จำเลยที่ 3-4 เป็นประธานและเลขานุการคณะกรรมการประกวดราคาฯ ตามลำดับ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบครม.ในการดูแลให้เกิดความเรียบร้อยในการเสนอราคา แม้ว่าจำเลยที่ 3-4 ไม่ได้เสนอบัญชีปริมาณวัสดุให้ครบถ้วน แต่ราคาทั้งหมดไม่มีผลเปลี่ยนแปลงในภาพรวม และจำเลยที่ 5 เป็นเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเองเมื่อพิจารณาเอกสารความเห็น ย่อมไม่เกิดความเสียหายและไม่ปรากฎว่าพบว่าจำเลยที่ 3-4 แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบการกระทำ จึงไม่เป็นความผิด ส่วนจำเลยที่ 5-6 โจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3-4 กระทำความผิด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 5-6 กระทำความผิดด้วย มติเสียงข้างมากพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1-6