การประชุมกรรมการ กสทช. พิจารณาแผนการยุติการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่2 (2G) และให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 (3G) ที่ประชุมมีความเห็นให้ โอเปอร์ทั้ง 2 ราย ส่งแผนปิดให้บริการ 2G และ 3G มาให้ กสทช. พิจารณาเพื่อจัดทำแผนปิดให้บริการ ที่ต้องนำไปรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันผลกระทบ จากนั้นจึงจะจัดทำแผนปิดให้บริการ
นายสืบศักดิ์ สืบภักดี เลขาธิการสมาคมโทรคมนาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความเห็นว่า การปิดให้บริการ 2G และ 3G เป็นเรื่องปกติเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ใหม่ขึ้นมา การปิดบริการ 2G และ 3G จะทำให้นำสเปคตรัมกลับมาใช้งานให้เกิดประโยชน์กับผู้ใช้บริการในอนาคต สำหรับการปิดให้บริการ 2G เป็นสิ่งที่หลายประเทศได้ทำไปแล้วไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาสิงคโปร์หรือ ออสเตรเลีย ในประเทศไทยคาดว่ามีผู้ใช้บริการ เหลืออยู่ประมาณ 400,000 ราย การปิดให้บริการ 2G จีหรือ 3G จะเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงผู้บริโภคที่ยังคงใช้งานอยู่ไม่เกิดผลกระทบดังนั้นจึงต้องจัดทำแผนเยียวยาคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมและไม่เกิดผลกระทบในภายหลัง
ส่วนการปิดให้บริการ2G และ 3G ด้วยเหตุผลเพื่อ
ป้องกันอาชญกรรมออนไลน์ ที่ใช้ช่องว่างของเครือข่าย 2G และ 3G โจมตี SMS Blaster (โดยใช้สถานีฐานปลอม False Base Stations (FBS) หรือ Stingrays กระจายข้อความ SMS ในพื้นที่นั้น แล้วหลอกให้คลิกลิงก์ (SMS phising) ) เป็นประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจ
การป้องกันปัญหาจากมิจฉาชีพที่ใช้ False Base Stations หลอกลวงประชาชน ไม่ได้แก้ไขได้ด้วยการปิดให้บริการ 2G และ 3G เท่านั้น ปัญหา False Base Stations เกิดจากมิจฉาชีพที่นำเข้าเครื่องส่งผิดกฎหมายมาใช้เครือข่ายที่ให้ให้บริการอยู่ในการส่ง SMS ไปหลอกลวงประชาชน ต่อให้ปิดให้บริการ 2G และ 3G แล้ว แต่ยังคงมีมิจฉาชีพที่นำเครื่องเถื่อนเข้ามาก็ยังคงมีปัญหา False Base Stations อยู่ต่อไป
“ การแก้ปัญหา False Base Stations จึงต้องมีการตรวจสอบกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดนำเข้าเครื่องส่งที่ผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่ปิดบริการ 2G และ 3G เท่านั้น”