สธ. วอนผู้ปกครอง ดูแลลูกหลาน ระวังจมน้ำ.. เม.ย. หน้าร้อน ย้อนไป 10 ปี พบเด็กอายุต่ำ 15 ปี ตกน้ำ จมน้ำเสียชีวิตมากกว่า 7,000 คน เฉลี่ยเพียง 3 เดือน (มี.ค.-พ.ค.) 241 ราย ทำให้ขึ้นอันดับ 1 สาเหตุเด็กไทยเสียชีวิต ขณะที่ภาคอีสาน เพียง 4 จังหวัด ย้อนไป 5 ปี จมน้ำเศร้ามากกว่า 270 ราย และปี 2564 เสียชีวิต 658 ราย ทำสถิติพุ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี
เว็บไซต์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2565 ว่า 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555 - 2564) เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิต เดือนเมษายน 831 ราย เฉพาะสงกรานต์ 3 วัน จมน้ำ 105 ราย เฉลี่ยวันละ 3.5 ราย นับเป็นความเสี่ยงมากกว่า ช่วงวันปกติเกือบ 2 เท่า
การจมน้ำ เป็นสาเหตุการเสียชีวิต อันดับ 1 ของเด็กไทย ซึ่งสูงกว่าทุกสาเหตุ ทั้งโรคติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา (ปี 2555 - 2564) โดยเฉพาะในเด็ก อายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำไปแล้วถึง 7,374 คน เฉลี่ยปีละ 737 คน หรือวันละ 2 คน โดยเฉพาะในช่วงเดือน มีนาคม - พฤษภาคม เป็นเดือนที่เด็กจมน้ำ เสียชีวิตมากที่สุด เพราะตรงกับช่วงปิดเทอม และช่วงฤดูร้อน เฉลี่ยเพียง 3 เดือน มีเด็กตกน้ำ - จมน้ำ เสียชีวิตถึง 241 คน หรือวันละเกือบ 3 คน
โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563 - 2564) มีการระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ทำให้เด็กต้องเรียนออนไลน์ และอยู่บ้านนานขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือน การปิดภาคการศึกษา ระยะยาว ส่งผลให้การเสียชีวิต จากการจมน้ำของเด็กในปี 2564 เพิ่มสูงมากที่สุดในรอบ 10 ปี
นายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น เปิดเผยสถานการณ์ จากข้อมูลที่สอดคล้อง กับภาพรวมทั้งประเทศ โดยเฉพาะช่วงที่อากาศร้อน ในเดือนเมษายน ประกอบกับเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ ส่งผลให้เด็ก ๆ ชักชวนกันไปเล่นน้ำ ตามแหล่งน้ำธรรมชาติในชุมชน จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต จากการจมน้ำ ในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
สำหรับสถานการณ์ จมน้ำเสียชีวิต ในเขตสุขภาพที่ 7 ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด, ขอนแก่น, มหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์ พบการเสียชีวิต จากการจมน้ำในช่วง 5 ปี ย้อนหลัง (ปี 2559 - 2563) พบว่า มีเด็กเสียชีวิต จากการจมน้ำ ดังนี้
+ จังหวัด ร้อยเอ็ด 64 คน
+ จังหวัด ขอนแก่น 102 คน
+ จังหวัด มหาสารคาม 46 คน
+ จังหวัด กาฬสินธุ์ 60 คน
ทั้งหมดนี้ เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง และส่วนมากเสียชีวิต ภายนอกบ้าน จากแหล่งน้ำทางการเกษตร, หนองน้ำรอบชุมชน ซึ่งแหล่งน้ำส่วนใหญ่ ยังไม่มีการจัดการ ให้เกิดความปลอดภัย เช่น การสร้างรั้ว, การติดป้ายเตือน, การติดตั้งอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำ รวมทั้งส่วนใหญ่ ผู้ประสบเหตุ ขาดทักษะเอาชีวิตรอด เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีการช่วยเหลือที่ไม่ถูกต้อง
จึงขอเชิญชวน ทุกภาคส่วนร่วมกันป้องกัน การเสียชีวิตจากการจมน้ำ และขอความร่วมมือ เครือข่ายสื่อมวลชน ให้ช่วยกันรณรงค์ เผยแพร่ข้อมูลในวงกว้าง ได้แก่ สถานีวิทยุ, หอกระจายข่าว, เสียงตามสายในชุมชน เพื่อให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย ในระดับชุมชน โดยมุ่งหวังให้ครอบครัว (บ้าน) เป็นจุดเริ่มต้น ของการสร้างความปลอดภัยทางน้ำ
ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม ในการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ได้แก่ การจัดการแหล่งน้ำเสี่ยง เช่น การสร้างรั้ว, ติดป้ายคำเตือน, จัดให้มีอุปกรณ์ช่วยเหลือคนตกน้ำ ที่หาได้ง่าย อาทิ ไม้ไผ่, เชือก, แกลลอนพลาสติกมีฝาปิด และในยามฉุกเฉิน ให้ทุกคนยึดหลัก “ตะโกน โยน ยื่น”
+ ตะโกน: ให้ผู้ใหญ่ช่วย
+ โยน: วัสดุที่ลอยน้ำได้
+ ยื่น: ไม้ กิ่งไม้ ให้คนตกน้ำจับ
ซึ่งควรต้องเน้นย้ำ และสอนเด็กเสมอ เครือข่ายด้านสาธารณสุข และด้านการศึกษา ควรร่วมมือกัน สนับสนุนให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ได้ฝึกทักษะ การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) สนับสนุนให้เด็ก มีโอกาสเรียนว่ายน้ำ เพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งจะครอบคลุมเนื้อหาความรู้ เรื่องความปลอดภัยทางน้ำ ทักษะการเอาชีวิตรอดในน้ำ และทักษะการช่วยเหลือคนตกน้ำ, จมน้ำ
และสามารถเรียนรู้จากสื่อ AR ป้องกันการจมน้ำ เทคโนโลยีโลกเสมือน (Augmented Reality: AR) โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ เว็บไซต์ กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค
และฝากเตือนถึงผู้ปกครอง ว่า การป้องกันไม่ให้เด็กจมน้ำ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด “อย่าปล่อยเด็ก ไปเล่นน้ำกันเองตามลำพัง เด็กเล็กต้องอยู่ในระยะ ที่มือเอื้อมถึง และคว้าถึง”
ผู้ปกครอง ร่วมสร้างพื้นที่เล่นปลอดภัย (playpen) แก่เด็ก กรณีในครัวเรือน ที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ขอให้ใช้คอกกั้นทุกราย การทำกิจกรรมทางน้ำ หรือการเดินทางทางน้ำ ให้ปฏิบัติตาม กฎความปลอดภัยทางน้ำ และขอให้ใส่เสื้อชูชีพ หรือใช้อุปกรณ์ลอยน้ำทุกครั้ง
สำหรับวิธีช่วยเหลือ เด็กจมน้ำที่ถูกวิธี มีดังนี้
+ เมื่อช่วยเด็กขึ้นมาจากน้ำ และเด็กไม่หายใจ ควรตรวจดูการอุดกั้น ของช่องทางเดินหายใจ ในปาก ในจมูกก่อน
+ หากไม่มีอะไรอุดกั้น ให้รีบเป่าปากในทันที เพื่อช่วยหายใจ เพราะเด็กที่จมน้ำหมดสติ เนื่องจากขาดอากาศหายใจ
+ และหากไม่แน่ใจว่า มีชีพจร ให้นวดหัวใจ กดหน้าอกให้ยุบลงไป ประมาณ 1 ใน 3 ของความหนาของหน้าอก ความเร็วอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที สลับกับการเป่าปาก ในอัตราส่วน 30:2 หรือจำง่าย ๆ คือ เป่าปาก 2 ครั้ง ปั๊มหัวใจ 30 ครั้ง ทำอย่างต่อเนื่อง จนกว่าเด็กจะรู้สึกตัว หรือจนกว่าจะมีทีมแพทย์ มาช่วยเหลือ
ทั้งนี้หากประชาชน มีข้อสงสัย สามารถโทรสอบถามได้ที่ สายด่วน กรมควบคุมโรค 1422
ข้อมูลจาก : กองป้องกันการบาดเจ็บ / กลุ่มโรคไม่ติดต่อ สคร.7 ขอนแก่น
เผยแพร่ (5 เม.ย. 65) : กลุ่มสื่อสารความเสี่ยงโรค และภัยสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
ข้อมูล ชุดความรู้ :
เอกสาร : การป้องกัน การจมน้ำ (กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค) มีหัวข้อสำคัญ ดังนี้
+ วิธีการใช้งาน สื่อ Augmented Reality (AR) ป้องกันการจมน้ำ
+ สื่อ (AR) การจมน้ำในบ้าน และบริเวณบ้าน และการป้องกัน
+ ลักษณะคอกกั้นเด็กที่ปลอดภัย
+ สื่อ (AR) การจมน้ำในแหล่งน้ำ เพื่อการเกษตร และการป้องกัน
+ การช่วยเหลือคนตกน้ำ จมน้ำ
+ การปฐมพยาบาล คนตกน้ำ จนน้ำ
+ กระแสน้ำย้อนกลับ (คลื่นทะเลดูด) และการเอาชีวิตรอด
+ กฎความปลอดภัยทางน้ำ
+ 3 ข้อควรจำ กับ การป้องกันการจมน้ำในเด็กเล็ก
+ ความแตกต่างระหว่าง เสื้อชูชีพ และเสื้อพยุงตัว
https://ddc.moph.go.th/uploads/files/2141120211029064335.pdf
อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก :
เว็บไซต์ : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
https://ddc.moph.go.th
สงกรานต์ ระวัง !! เด็กจมน้ำ สถิติ 10 ปี เฉพาะ เม.ย. 831 ราย
13 เม.ย 2565
5670 views
ขนาดตัวอักษร
อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย